วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

เข็มขัดแฟชั่นเกาหลี

เข็มขัดแฟชั่นเกาหลี เป็นอีกหนึ่งความอินเทรนด์สุดเก๋ที่ เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) คิดว่าคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชไม่ควรพลาด แบบเข็มขัดแฟชั่นเกาหลี นี้ต้องขอบอกเลยนะค่ะว่าเป็นเครื่องประดับแฟชั่นอีกหนึ่งอย่างที่กำลังได้ รับความนิยมเป็นอย่างมากก็เทรนด์เข็มขัดแฟชั่นเกาหลีกำลัง มาแรงแบบว่าฉุดไม่อยู่จริงๆ เลยค่ะ วันนี้จึงของแนะนำ แบบเข็มขัดแฟชั่นเกาหลี นี้ที่คุณสาวๆ สามารถนำมามิกซ์แอนด์แมทเข้ากับเสื้อผ้าได้ทุกแบบทุกสไตล์เลยนะค่ะ และที่สำคัญไปกว่านั้น เข็มขัดแฟชั่นเกาหลี เส้นนี้ยังโดนเด่นไปด้วยดีไซต์สุดอินเทรนด์ที่ไม่เหมือนใครและแถม เข็มขัดแฟชั่นเกาหลี นี้ยังเป็นความอินเทรนด์ในสไตล์เกาหลีที่ เชื่อว่าคุณสาวๆ อย่างคุณจะไม่กล้าพลาดอย่างแน่นอนค่ะ

รูปภาพ เข็มขัดแฟชั่นเกาหลี





เป็นยังงัยกันบ้างค่ะสำหรับเข็มขัดแฟชั่นเกาหลีที่นำมาอัพเดทกันในวันนี้เก๋สมกับทีบอกไหมหล่ะค่ะ คุณสาวๆ คนไหนที่กำลังมองหาเข็มขัดแฟชั่นเกาหลีแบบเก๋ไม่เหมือนใครสักเส้นวันนี้ มีเข็มขัดแฟชั่นเกาหลีมาแนะนำกันแล้วนะค่ะ แล้วในครั้งต่อไปต้องรอมาอัพเดทกันด้วยนะค่ะว่าเราจะนำเอาเข็มขัดแฟชั่นเกาหลีความ อินเทรนด์สไตล์ไหนมาอัพเดทให้คุณสาวๆ ได้รู้กันอีก ทุกเทรนด์แฟชั่นที่อินเทรนด์ ทุกความชิคที่คุณสาวๆ อยากรู้เราก็ได้รวบรวมไว้ให้คุณสาวๆ ที่นี่แล้ว รับรองว่าทุกความชิคของคุณสาวๆ จะหาได้ที่นี่อย่างแน่นอนค่ะและเราจะไม่ทำให้คุณสวๆ ต้องเอ้าท์เทรนด์อย่างเด็ดขาด


ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ แฟชั่น จาก  n3k.in.th
ขอขอบคุณรูปภาพเครื่องประดับแฟชั่น จาก qng

ผู้หญิงจะแต่งตัวอย่างไร...ถ้าอกใหญ่

ผู้หญิง ๆ หลายคนอาจกังวลกับขนาดของหน้าอกที่ไม่เป็นดั่งใจ หรือขนาดที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวหลังจากกลายเป็น คุณแม่มือใหม่ คุณอาจจะลองแต่งตัวด้วยวิธีง่ายๆ ที่ไม่ทำให้ดูเชยหรือสูงวัยเกินไป 


  1. สิ่งแรกอย่าปกปิดหน้าอกด้วยเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ แต่ลองเพิ่มความบาลานซ์ด้วยเสื้อที่มีการจับแดปหรือแต่งวอลุ่ม
  2. ใส่ท่อนบนสีเข้มแล้วแมตช์ด้วยกางเกงสีอ่อน จะทำให้ช่วงสะโพกขนาดดูสมดุลกับหน้าอกมากขึ้น
  3. อย่าใส่เข็มขัดเส้นใหญ่ เพราะจะทำให้ลดขนาดช่วงตัวท่อนบน และเน้นส่วนหน้าอกให้เด่นชัดขึ้น
  4. หลีกเลี่ยงเสื้อคอเต่า และหันมาใส่เสื้อคอ V หรือเสื้อที่มีความเว้าช่วงคอ
  5. สุดท้าย หาเครื่องประดับสักชิ้นที่มีดีไซน์เก๋หรือขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดความสนใจไปที่เครื่องประดับแทนหน้าอก

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ แฟชั่น จาก  ลิซ่ากูรู

ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ

วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีอีกหนึ่งความชิคมาฝากคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชทั้งหลายกันกับชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ สำหรับ แบบชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ นี้เป็นสไตล์ที่ดูน่ารักๆ ดีไซต์ของ แบบชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ เป็นดีไซต์ที่ไม่เหมือนใคร มองดูแล้วน่ารักๆ ใสๆ เนื้อผ้าของ ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ ก็จะเป็นผ้านิ่มๆ ใส่ง่ายๆ เหมาะกับอากาศน่าร้อนของบ้านเราเป็นที่สู๊ด...สุด เอาเป็นว่าคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชวัยชิคคนไหนที่ชอบใน สไตล์ของ ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ ที่นำมาฝากนี้ ก็คงต้องรีบๆ ไปหาซื้อมาไว้ใส่กันได้เลยนะค่ะ รับรองได้เลยว่าคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชจะกลายเป็นสาวฮอต สุดอินเทรนด์อย่างแน่นอนค่ะ อ้อ... ต้องขอย้ำอีกรอบนะค่ะว่า ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ นี้เป็นอีกหนึ่งเทรนด์แฟชั่นที่มาแรงมากๆ ในตอนนี้ เห็นรึยังหล่ะค่ะว่า ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ นี้คุณผู้หญิงไม่ควรพลาดจริงๆ 

รูปภาพ ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ





 

วะ วะ ว้าววววววว เป็นอีกหนึ่งความอินเทรนด์ที่คุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชไม่ ควรมองข้ามจริงๆ สำหรับชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ ชุดนี้ ที่นำมาฝากค่ะ หวังว่าชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ คงจะเป็นอีกหนึ่งแฟชั่นเสื้อผ้าที่คุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอ ชกำลังตามหาอยู่นะค่ะ แล้วคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชสุดชิคทั้งหลายก็อย่าเพลินกับชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ จนลืมรออัพเดทความอินเทรนด์ นำมาฝากค่ะในครั้งหน้านะค่ะ ว่าความชิคในสไตล์ที่นำมาอัพเดทกันอีกจะใช่ในแบบที่คุณผู้หญิงชอบ กันหรือเปล่านะคะ 

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ แฟชั่น จาก  n3k.in.th 
 ขอขอบคุณรูปภาพเสื้อผ้าแฟชั่น จาก qng

ทรงผมมัดข้างน่ารัก

มาแล้วจร้ามาแล้วมาเสิร์ฟความอินเทรนด์สุดเอ็กซ์คลูซิพกันแล้วจร้า วันนี้เราจะมานำเสนอความน่ารักแบบสุดๆ ฉุดไม่อยู่กันเลยกับ ทรงผมมัดข้างน่ารัก หนึ่งแฟชั่นยอดนิยมที่กลุ่มวัยรุ่นวัยใสส่วนใหญ่กำลังฮิต ก็แค่มันตรงด้านข้างแล้วทำตรงปลายให้เป็นลอนแบบเบาๆ อาจจะประดับด้วยที่คาดผมอันเล็กๆ เก๋ๆ สักอัน ก็ดูดีเว่อร์ๆ แล้วค่ะ เท่านี้เองค่ะง่ายแสนง่าย และก็ยังเป็นเทรนด์แฟชั่นสไตล์เกาหลีที่อยากย้ำชัดๆ ว่าสาวๆ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง อะๆ แต่นอกจากสาวๆ วันทีนวัยใสแล้วสาวกเกาหลีเตรียมกรี๊ดด....ให้สุดเสียงเพราะจะบอกว่า ทรงผมมัดข้างน่ารัก นี้ก็เป็นทรงผมยอดฮิตของสาวๆ ดาราเกาหลีเช่นกันจร้า เป็นทรงผมอินเทรนด์แฟชั่นที่ไม่ต้องอะไรมากมาย แต่เน้นความอินเทรด์แบบน่ารักสดใสก็พอ เหมาะสำหรับสาวๆ วัยทีนอย่างเราๆ อิอิ เป็นอย่างมากเลยนะเจ้าค่ะ





โอ้ยๆๆ น่ารักอะบ่องตงกับแบบทรงผมมัดข้างน่ารักเป็นทรงผมที่น่ารักมากๆ ตอนนี้สาวๆ วัยใสสาวกเกาหลีคงกำลังนั่งม้วนๆ มัดๆ จัดผมของคุณให้เป็นแบบทรงผมมัดข้างน่ารักทรงนี้กันอยู่ใช่ไหมหล่ะถูกใจหล่ะ เซ่ ถ้าถูกใจก็จัดไปค่ะเป็นสาวเกาหลีกันสักวันจะเป็นอะไรไป วันนี้น่ารักไป 1 วัน แต่ครั้งหน้าเราจะมาเปลี่ยนลุคเปลี่ยนสไตล์ใหม่พร้อมๆ กันอีกนะค่ะ แต่ครั้งนี้ยอมแพ้ความแรงของเทรนด์แฟชั่นแบบทรงผมมัดข้างน่ารักสไตล์เกาหลี นี้ไปก่อนครั้งหน้าแฟชั่นไหนจะมาล้มตำแหน่งความอินเทรนด์ของแบบทรงผมมัดข้าง น่ารักทรงนี้ต้องรอติดตามค่ะ

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ แฟชั่น จาก  n3k.in.th

ขอขอบคุณรูปภาพทรงผมจากอินเตอร์เน็ต
ทรงผมเกาหลี , ทรงผมดัด , ทรงผมยาว, เกล้าผม

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

น้ำมันมะพร้าวไม่ได้ลดความอ้วน

น้ำมันมะพร้าวก็เริ่มเป็นที่ฮือฮาในหลายแง่มุมขึ้นมา โดยเฉพาะในเรื่องการรับประทานน้ำมันมะพร้าวเพื่อลดความอ้วน ต้องขอแก้ข่าวนี้ก่อนว่าไม่จริง เพราะหลักการลดความอ้วนคือต้องลดอาหารลดไขมัน กินผักให้มากๆ และออกกำลังกาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่กินน้ำมันเสียเลย เพราะเรายังต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่

ก็มีข้อเสนอว่าถ้าเราต้องกินน้ำมันก็ให้กินน้ำมันมะพร้าว เพราะเป็นน้ำมันที่ให้พลังงานสูง และเป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลย จึงไม่เสี่ยงต่อการสะสมในร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของความอ้วนนั่นเอง แต่ก็ต้องกินแบบพอดีด้วย ซึ่งวิธีการใช้อย่างเหมาะสมนี้ก็ถือเป็นการช่วยลดความอ้วนทางอ้อมนั่นเอง หมอ ขอแนะนำอย่างนี้ดีกว่า ไม่ใช่ไปกินน้ำมันมะพร้าวเพื่อลดความอ้วน เพราะโดยหลักการนั้นน้ำมันทุกชนิดย่อมทำให้อ้วนอยู่แล้ว น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมากถึง 86% สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้นานโดยไม่เหม็นหืน แต่จะจับตัวแข็งเป็นก้อนเมื่อถูกความเย็น และถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นจะสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 6 เดือน เป็นน้ำมันที่ไม่มีควันเมื่อถูกความร้อนสูงจัด จึงเหมาะที่จะนำไปทอดอาหารประเภทน้ำมันท่วมชนิดเดือดจัดๆ อย่างไก่ทอด ปาท่องโก๋ กล้วยแขก เป็นต้น ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะเกิดสารอนุมูลอิสระน้อย ผู้บริโภคจึงไม่ต้องเสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากนัก แต่เนื่องจากปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวสูง จึงอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจหรือหลอดเลือดอุดตันได้เช่นกัน การสกัดน้ำมันมะพร้าวถือเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทยมาช้านาน

โดยเฉพาะการสกัดด้วยการเคี่ยวจนได้น้ำมัน เรียกว่า สกัดร้อน แต่น้ำมันจะไปผ่านความร้อนทำให้คุณภาพลดลงบ้าง แต่ก็สามารถนำไปใช้ทาตัวได้ ส่วนวิธีการสกัดอีกแบบคือ การหมัก หรือ สกัดเย็น จนได้น้ำมันใสบริสุทธิ์นั้นเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง เพราะจะได้น้ำมันมะพร้าวที่ใสบริสุทธิ์น่าใช้ โดยเฉพาะการนำไปใช้เป็นเบสออยในสปา วิธีการทำน้ำมันมะพร้าวแบบภูมิปัญญาชาวบ้านโดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีนี้ เหมาะสำหรับการทำแล้วใช้เพียง 7 วัน หรือหนึ่งเดือนแล้วใช้ให้หมด เรียกว่าน้ำมันยังไม่ได้ทันเหม็นหืนเราก็คั้นเตรียมทำใหม่แล้ว สำหรับที่มูลนิธิการแพทย์แผนไทย ในส่วนของศูนย์พัฒนาวัตถุดิบและร้านวาสุเทพ เราก็ได้นำน้ำมันมะพร้าวจากชาวบ้านมาวางจำหน่าย ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่น้อย มีเพื่อนบ้านของไทยอย่างประเทศฟิลิปปินส์เวลานี้ส่งออกน้ำมันมะพร้าวแบบออร์ แกนิกไปขายยังอเมริกา สร้างรายได้เข้าประเทศชนิดยอดไม่ตกเลย อย่างไรก็ตาม ในโลกของการแข่งขันทางธุรกิจแล้ว การผลิตน้ำมันมะพร้าวในระดับภูมิปัญญาชาวบ้าน อาจไม่สามารถแข่งขันกับตลาดได้มากนัก เพราะถ้าระยะเวลาการเก็บได้เพียงไม่เกิน 6 เดือนนั้น อาจทำให้อายุสินค้าสั้นลง

ฉะนั้นในระดับธุรกิจแล้วเราอาจจะต้องคำนึงถึงเรื่องการกำจัดความเหม็นหืน ด้วย ผู้ผลิตต้องคำนึงถึงจุดนี้ซึ่งคงต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นนั่นเอง ในเวลานี้มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนาก็ได้ร่วมกับภาคเอกชน หันมาทำน้ำมันมะพร้าวแบบไม่เหม็นหืน ซึ่งวางแผนไว้ว่าอาจจะจัดตั้งโรงงานขึ้นที่จังหวัดราชบุรีเป็นโครงการนำร่อง เพราะแถบนั้นมีมะพร้าวเยอะ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่จัดทำขึ้นนี้เราจะใช้ชื่อว่า "สึนามิ ครีม" อีกไม่นานทางมูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนาก็จะมีผลิตภัณฑ์ตัวนี้ออกมาจำหน่าย ซึ่งราคาก็คงแพง กว่าแบบที่ผลิตโดยชาวบ้านสักหน่อย ส่วนการจัดตั้งโรงงานผลิตที่ภาคใต้นั้น ขณะนี้หมอก็กำลังศึกษาลู่ทางอยู่ว่าจะทำอย่างไร เพื่อช่วยให้ผู้ประสบภัยสึนามิมีอาชีพและรายได้อย่างจริงจังเป็นรูปธรรมต่อ ไป ในเวลานี้นิยมนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้ในวงการสปาอย่างกว้างขวางมาก และเริ่มมีการรื้อฟื้นถึงวิธีการใช้ประโยชน์จากน้ำมันมะพร้าว อย่างที่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เราเคยใช้ เช่น ใช้หมักผม ซึ่งช่วยให้ผมดกดำและไม่หงอก ใช้ทารักษาบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือใช้ทาผิวหน้าก่อนนอนเพื่อบำรุงผิวพรรณ ทาตามข้อศอกและหัวเข่าเพื่อลดความหยาบกร้านของผิวหนัง ซึ่งสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวได้เลย แต่อีกวิธีหนึ่งคือการนำไปเข้าตำรับยา เช่น  

1.เอาเหล้าโรง 1 ส่วน น้ำมันมะพร้าว 1 ส่วน น้ำปูนใส 1 ส่วน อย่างละเท่ากัน นำไปกวนให้เข้ากันดีจนมีลักษณะคล้ายน้ำมันข้น ใช้สำลีจุ่มยาทาบริเวณที่ถูกไฟลวก ช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อน และเป็นยารักษาแผลเป็นได้อีกด้วย 2.เอายางตะเคียนกับน้ำมันมะพร้าวอย่างละเท่ากัน ใส่กระทะตั้งไฟเคี่ยวให้ละลาย ใช้สำลีชุบทาบริเวณแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก จะช่วยให้แผลหายและไม่เป็นแผลเป็น  

อันนี้เป็นหนึ่งในหลายภูมิปัญญาของคนไทยเรา ซึ่งการนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้ไม่ใช่เฉพาะแค่การรับประทานเท่านั้น แต่ยังใช้เพื่อความงามและ ใช้ในการรักษาโรคได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หมอขอย้ำว่าน้ำมันมะพร้าวไม่สามารถลดความอ้วนได้โดยตรง กระบวนการที่เกิดขึ้นนั้นมันช่วยได้ทางอ้อม ซึ่งต้องกินในปริมาณที่น้อยและร่างกายสามารถนำไปใช้ได้หมดด้วย สรุปที่หมออยากบอกก็คือ ในกรณีที่เราต้องกินน้ำมันอยู่แล้วก็ลองหันมากินน้ำมันมะพร้าวแทนนั่นเอง 

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับการลดความอ้วน จาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 

ผ่าตัดกระเพาะ ลดความอ้วน

โดย สุชาฏา ประพันธ์วงศ์ จากสถิติคนไทยเป็น "โรคอ้วน" เฉลี่ยแล้ว 6% ของจำนวนประชากร ถือเป็นอุบัติการณ์ที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และยังพบว่าเด็กอ้วนเมื่อโตขึ้นก็มีโอกาสเป็นโรคอ้วนได้มากเช่นกัน ทางการแพทย์ได้ระบุไว้ว่า "ความอ้วน" ถือเป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา ซึ่งในความหมายทางการแพทย์ แล้ว "โรคอ้วน" คือผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 40 กิโลกรัม แต่ใช่ว่าทุกคนที่มีน้ำหนักตัวมากจะเป็นโรคอ้วน คนอ้วนสามารถแบ่งได้หลายระดับ คือ อ้วนปกติ อ้วนน้ำหนักเกิน คนอ้วน คนเป็นโรคอ้วน และซุปเปอร์โรคอ้วน สุดท้ายซุปเปอร์โรคอ้วน 


แต่มาวันนี้มีวิธีการลดความอ้วนที่น่าอัศจรรย์อย่างคาดไม่ถึง นั่นคือ การลดความอ้วนด้วยการผ่าตัดกระเพาะอาหารในร่างกาย เรื่องจริงเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว โดยมี ธนัท รัตนพันธ์ ชายหนุ่มวัย 29 ปี ที่เคยมีน้ำหนักตัวสูงถึง 165 กิโลกรัม ส่วนสูง 174 เซนติเมตร ผ่านการลดความอ้วนมาแล้วสารพัดวิธี จนสุดท้ายมาถึงการผ่าตัดกระเพาะ เล่าถึงความอึดอัดที่ต้องทนทุกข์ทรมานแบกรับน้ำหนักตัวที่เกินกว่าจะรับไหว เพียงเพราะความอยาก และการตามใจปากมากเกินไป ธนัทเล่าว่า เพราะเป็นหลานคนเดียวในบ้าน ทุกคนจึงตามใจและเลี้ยงดูอย่างดีมาก อยากกินอะไรก็ได้กิน กินไก่แต่ละครั้งเป็นตัวๆ เนื้อย่างติดมันครั้งละ 5 จาน ทุเรียนก็กินทีละเป็นลูกๆ ชอบกินอาหารพวกไขมัน โปรตีน และขนมหวาน หนึ่งวันของคนอื่นกินอาหาร 3 มื้อ แต่สำหรับเขากินได้วันละถึง 4-5 มื้อ แต่ละมื้อไม่ใช่น้อยๆ  

"ตอนเด็กๆ ยังไม่อ้วนมาก มาอ้วนเอาตอนเรียนชั้น ป.6 น้ำหนักขึ้นมาอยู่ที่ 100 กิโลกรัมพอดี แต่โชคดีที่ช่วงนั้นเล่นเทนนิสออกกำลังกาย และวิ่งขึ้นดอยสุเทพ ทำให้พอขึ้นชั้นมัธยม 2 น้ำหนักลดลงมาอยู่ที่ 65 กิโลกรัม แต่ก็ยังกินเยอะอยู่เหมือนเดิม พอต่อมาไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ไม่ได้เล่นกีฬาสักเท่าไหร่ แต่การกินเท่าเดิม จึงทำให้กลับมาอ้วนอีกครั้ง คราวนี้น้ำหนักขึ้นแล้วไม่ยอมลงง่ายๆ" เสียงบอกเล่าของธนัทยังดังต่อไปว่า มาอ้วนเอาจริงเอาจังตอนช่วงอายุ 17-26 ปี เป็นช่วงที่ใช้ร่างกายหนักมาก จึงทำให้กินมากด้วย ในช่วงเวลา 7 ปี น้ำหนักตัวของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว เสื้อผ้าต้องเปลี่ยนตลอด เพราะร่างกายขยายขึ้นเรื่อยๆ "คือตอนนั้นไปเปิดผับกับเพื่อนๆ ร่วมหุ้นกัน ขณะเดียวกันก็ทำงานประจำด้วย ทำให้วงจรชีวิตมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก แต่กลับกินอาหารเยอะมาก มื้อเช้า กลางวัน เย็น แล้วยังกินอีกสองมื้อตอน 2 ทุ่ม กับตอนตี 3 กินวนเวียนอยู่แบบนี้ ก็พยายามจะลดน้ำหนักเหมือนกัน แต่แค่เดินยังลำบากเลย ฝ่าเท้าแตกเพราะต้องรับน้ำหนักตัวมาก เวลาเดินจะเจ็บมาก และปวดหลังอีกด้วย" แค่นั้นยังไม่พอสำหรับเขา ผลของความอ้วนทำให้เขาต้องเป็นโรคที่ภาษาหมอเรียกว่า "สลีป แอ็บเนีย ซินโดรม" (Sleep Apnea Sindrom) คือ เป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบหายใจติดขัดขณะนอนหลับ และมีเสียงกรนดังมาก  

"ต้องสะดุ้งตื่นในตอนกลางคืนวันละ 7 ครั้ง ระยะหลังเลยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ โรคนี้ขณะที่นอนทรมานมากเพราะหายใจไม่ทัน เป็นอยู่ 1 ปีเต็ม แม้ตอนขับรถก็หลับ ฝันได้เลย ถึงขั้นต้องจอดรถนอนแบบนี้ก็มีนะ คือ นั่งคุยอยู่ดีๆ ก็หลับไปซะงั้น" เมื่อร่างกายของเขาต้องทรมานขนาดนี้ หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาคับอกคับใจของเขาได้ คือการไปพบแพทย์ "รู้สึกว่ามันไม่ปกติเลยตัดสินใจไปปรึกษาแพทย์เพื่อ รักษา แต่ก่อนหน้าจะไปพบแพทย์ ได้ใช้วิธีอื่น พยายามกินยาลดความอ้วน แต่ไม่สำเร็จ เพราะว่าน้ำหนักก็เพิ่มอีกและรู้สึกเครียด มือสั่น ใจสั่น หมอแนะนำว่าให้ผ่าตัดกระบังลม ซึ่งจะช่วยให้หายใจคล่องขึ้น 70% แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจทำ" "กระทั่งตกลงใจไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งเป็นหมอรักษาโรคอ้วนโดยเฉพาะ หมอแนะนำให้ใช้วิธีการควบคุมอาหารก่อน กลับมาบ้านมาทำตามคำแนะนำหมอ แต่น้ำหนักก็ไม่ยอมลด ในที่สุดหมอเขาส่งตัวไปที่แผนกศัลยกรรม บอกว่าต้องใช้วิธีผ่าตัดกระเพาะ ใช้ยางรัดกระเพาะไว้เพื่อทำให้เรากินได้น้อยลง"

ทันทีที่หมออธิบายถึงวิธีการรักษา เขาไม่ลังเลอะไรทั้งสิ้น ตัดสินใจผ่าตัดทันที ยังไม่ทันจะปรึกษาใครด้วยซ้ำ รู้เพียงแต่ว่าจะต้องผอมให้ได้และไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่าความอ้วนอีกแล้ว จากนั้น ธนัท ก็เข้ารับการผ่าตัดภายใต้การดูแลของหมอจากโรงพยาบาลรามาธิบดี เขาเล่าว่า การผ่าตัดกระเพาะอาหารมีหลายวิธีด้วยกัน แต่วิธีที่เขาเลือกใช้ คือ "เครื่องล็อคกระเพาะ" ทำให้กระเพาะเล็กลง เพื่อกินได้น้อยลง เครื่องมือที่ว่านี้สามารถยืดหยุ่นได้ตามความต้องการ หากต้องการกินน้อยก็จะมีน้ำยาฉีดเข้าไปทำให้ยางบีบแน่นขึ้นและคลายลงตามแต่ คนไข้และแพทย์ตกลงกัน "หลังจากผ่าตัดใส่เครื่องล็อคกระเพาะ เดือนแรกน้ำหนักลดได้ถึง 17 กิโลกรัม อาการของโรคสลีป แอ็บเนีย ซินโดรม ก็หายไป น้ำหนักลดลงมาได้ เหมือนเกิดใหม่ สบายตัวขึ้นมากต้องถือว่าประสบความสำเร็จนับจากวันที่ผ่าตัดมาจนถึงวันนี้ สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 61 กิโลกรัม" ในทางทฤษฎีของหมอ การใช้เครื่องล็อคกระเพาะจะได้ผลดีกับคนที่ควบคุมตัวเองได้ และคนที่หิวบ่อยๆ "เดือนแรกกินอะไรไม่ได้ หมอให้กินแต่น้ำซุปเพราะว่ากระเพาะยังไม่เข้าที่ ห้ามกินอาหารแข็งๆ อยากกินหมูก็เคี้ยวให้รู้สึกถึงรสชาติเท่านั้นแล้วให้คายออก ผมแอบกลืนลงคอเหมือนกัน แต่แล้วก็อาเจียนออกมา" ธนัทว่ามาถึงตอนนี้อยู่ที่ตัวเองจะควบคุมเองแล้ว  

"ถ้าเราออกกำลังกายเราก็จะลดได้อีก ถ้าผมไม่กินพวกนม พวกน้ำหวาน ก็ลดได้ยิ่งกว่านี้อีก เพราะตัวนี้จะควบคุมได้เฉพาะพวกของแข็ง ถ้าเป็นของเหลวจะไหลผ่านลงกระเพาะไปเลย ถ้ากินมากอาหารก็จะล้นกระเพาะ ทำให้บางทีต้องไปอาเจียน" ถามว่ามีความสุขกับการทำแบบนี้ไหม? "มีความสุขมาก เหมือนเกิดใหม่ เพราะเรายังมีความสุขกับการกินได้เหมือนเดิมอยากกินอะไรก็กิน แต่จะกินในปริมาณที่น้อยลงถึง 1 ใน 4 ส่วน ขณะนี้น้ำหนักตัวผมอยู่ที่ 103 กิโลกรัม รอบเอวเหลือ 40 นิ้ว ลดจากเดิม 54 นิ้ว ตั้งใจว่าจะลดลงเรื่อยๆ ให้เหลือน้ำหนัก 70 กิโลกรัม และคงต้องออกกำลังกายช่วยด้วย" การที่มีเครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในกระเพาะ ธนัทบอกว่าไม่รู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในท้องเลย ไม่มีอะไรน่ากลัว "ผมว่าการที่เราเป็นโรคอ้วนแบบที่เป็นก่อนหน้านี้มัน น่ากลัวกว่ามาก แต่การผ่าตัดกระเพาะค่าใช้จ่ายอาจจะสูงเกือบ 2 แสนบาท อาการหลังผ่าตัดมีเจ็บแผลที่ท้อง แต่ก็เจ็บแค่ 3 วันแรก พอหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปก็ไม่เป็นอะไรแล้ว เดินสบายเหมือนเดิม "บางคนบอกไม่กล้าทำเพราะกลัวเป็นแผลเป็นที่ท้อง แต่ผมบอกได้เลยว่ามีแผลเป็นที่ท้องกับการเป็นโรคอ้วน ผมยอมมีแผลเป็นดีกว่ามีไขมันสะสม" กล่าวพร้อมกับหัวเราะ  

ด้าน นายแพทย์ธีรพล อังกูลภักดีกุล แพทย์ศัลยกรรมโรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะกรรมการโรคอ้วน โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ทำการรักษาโรคอ้วน อธิบายถึงเรื่องผ่าตัดกระเพาะลดอ้วน ว่า มีการวิจัยพบว่า "โรคอ้วน" เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เพียงแต่ว่ายังไม่แพร่หลายในคนไทย "ทางหมอเองยังไม่กล้าให้ความรู้ ไม่กล้าไปพูดมากกลัวจะเป็นการชวนเชื่อ ซึ่งตามทางการแพทย์แล้ว การผ่าตัดกระเพาะเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคอ้วน คนอ้วนก็ใช่ว่าจะเป็นโรคอ้วนไปเสียทุกราย บางคนอ้วน แต่ไม่เป็นโรคอ้วนก็มี" คุณหมอธีรพลบอกว่า คนที่เป็นโรคอ้วน ชีวิตขัยจะสั้น เพราะมีโรคแทรกซ้อน ทั้งโรคความดัน โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และมีโอกาสเป็นโรคหัวใจสูงกว่าคนปกติ ส่วนโรค "สลีป แอ็บเนีย ซินโดรม" เป็นอาการ "หยุดการหายใจขณะหลับ" เกิดขึ้นจากบริเวณทางเดินหายใจเล็กกว่าปกติ เวลาที่คนไข้หลับลึกหรือหลับสนิทจะมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ สังเกตได้ง่ายๆ จากการนอนกรน และนอนหลับๆ ตื่นๆ คนไข้ที่เป็นโรคอ้วนส่วนใหญ่จะเป็นโรคนี้

คุณหมอยังบอกว่า อาการเหล่านี้ทำให้คนที่เป็นโรคอ้วนบางคนมีปัญหาทางด้านจิตเวชด้วย เนื่องจากเข้าสังคมไม่ได้ ความมั่นใจในตัวเองลดลง บางคนซึมเศร้าส่งผลทำให้กินมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ยังหาสาเหตุการอ้วนที่แท้จริงยังไม่พบ แต่เชื่อว่าประมาณ 1 ใน 3 เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่กรรมพันธุ์ไม่ใช่สาเหตุหลัก "มีผลงานวิจัยว่า อาหาร สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ค่านิยม ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนในระดับที่แตกต่างกัน เช่น ประเทศอินเดีย มีคนอ้วนมาก เนื่องมาจากชนิดของอาหารที่รับประทาน แต่ปัจจุบันนี้ดีขึ้น"

คุณหมอบอก สำหรับประเทศที่มีคนเป็นโรคอ้วนมากที่สุดในโลก คือ ชาวอเมริกัน มีมากกว่าชาวยุโรป เพราะคนอเมริกันเป็นพวกบริโภคนิยม ซึ่งมีตัวเลขผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนสูงถึง 15-20% และยังพบผู้ป่วยที่เข้าข่ายอ้วนอาจจะเกินหนึ่งใน 3 ของประชากร นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาวิจัยพบว่า แนวโน้มเด็กอ้วนที่ตอนเล็กตัวใหญ่มาก พอโตขึ้นมีโอกาสเป็นโรคอ้วนได้มากกว่าคนที่ไม่อ้วนตั้งแต่เด็ก "การผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วนทางตะวันตกทำกันมานานแล้วประมาณ 50-60 ปี แต่ทางเอเชียไม่ได้ทำกันแพร่หลาย ส่วนการอดอาหารลดอ้วน เปลี่ยนพฤติกรรมบริโภค หรือการกินยา ไม่ใช่วิธีการรักษาโรคอ้วน แต่อาจจะได้ผลกับคนที่อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน ต้องเข้าใจว่าภาวะการรักษาโรคอ้วนกับภาวะคนที่น้ำหนักเกินมันคนละเรื่อง"  
คุณหมอย้ำว่า การลดความอ้วนตามศูนย์ลดน้ำหนักอาจจะเหมาะสำหรับคนที่น้ำหนักเกิน แต่ไม่ใช่คนที่เป็นโรคอ้วน และว่า การผ่าตัดกระเพาะเป็นการรักษาคนไข้ ไม่ใช่ผ่าตัดเพื่อความสวยความงาม การผ่าตัดกระเพาะไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ แพทย์ที่จะทำการผ่าตัดต้องมีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์พอสมควร เนื่องจากเป็นการผ่าตัดผ่านกล้องที่ลึก ก่อนการผ่าตัดหมอต้องตรวจสอบก่อนว่าผู้ที่มาให้หมอผ่าตัดเป็นโรคอ้วนหรือไม่ บางคนอาจจะเป็นแค่ภาวะน้ำหนักเกิน ก็อาจให้คำแนะนำเรื่องโภชนาการ ให้ควบคุมอาหาร หรือแม้แต่คนที่เป็นโรคอ้วนก็ต้องลองวิธีอื่นก่อน ถ้าไม่ได้ผลจึงจะทำการผ่าตัด ต้องเข้าใจว่าไม่ได้ผ่าตัดในคนอ้วน แต่จะผ่าตัดในคนที่เป็นโรคอ้วน  

ปัจจุบันการผ่าตัดมีการพัฒนาขึ้น คนไข้ไม่ต้องถูกผ่าท้อง เพียงแต่ว่าใช้การเจาะท้อง 4-6 รูเพื่อเอาเครื่องมือสอดเข้าไปทำการผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งวิธีนี้คนไข้จะฟื้นตัวเร็ว ได้ผลกว่าการผ่าตัดแบบเปิด "เรื่องของอันตรายมีแน่นอน เหมือนการผ่าตัดทั่วไป แต่เรายังไม่พบคนไข้ที่มีภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด เรามีเรื่องของการติดเชื้อที่แผลบ้าง 2 ราย จากทั้งหมดที่ผ่าตัด 50 ราย ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร แต่ก็ทำการรักษาเรียบร้อยแล้ว" คุณหมอธีรพลบอกปิดท้ายว่า เท่าที่ทำการผ่าตัดมามีผู้ป่วยที่สามารถลดน้ำหนักได้สูงสุดประมาณ 70 กิโลกรัม จากน้ำหนัก 180 กิโลกรัม ใช้เวลาประมาณ 1 ปี เฉลี่ยแล้วผู้ป่วยที่รับการผ่าตัดไปแล้วสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 40-50 กิโลกรัม

"ตอนนี้ที่โรงพยาบาลรามาฯ ยังมีคนไข้ที่รอผ่าตัดอยู่อีกประมาณ 10 กว่าคน การผ่าตัดกระเพาะจะมีค่าใช้จ่ายสูงประมาณ 1.5 ถึง 2 แสนบาทในโรงพยาบาลรัฐบาล ถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนจะอยู่ที่ 3-5 แสนบาท ถ้าเทียบกับการลดน้ำหนักตามศูนย์ลดความอ้วนแล้ว ไม่ต่างกันนักหมดเงินเป็นแสนเหมือนกัน แต่ที่ต่างคือแทนที่น้ำหนักจะลดลง น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นมาอีก" การผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดอ้วน แม้ว่าในทางการแพทย์ยังไม่ใช่แนวทางของการมีสุขภาพดี แต่สำหรับคนป่วยเป็นโรคอ้วนแล้ว เมื่อได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ก็ยังทำให้พวกเขาสามารถกลับมาทำงาน และอยู่ได้ในสังคมอย่างไม่ถูกมองอย่างแปลกแยกว่ามีปมด้อยอีก

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับการลดความอ้วน จาก มติชนออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

ว่ายน้ำ...ลดน้ำหนักได้ไหม?

จะว่ายน้ำลดน้ำหนักได้ไหมหรือ ว่ายน้ำลดความอ้วนได้ไหมวันนี้เรามีคำตอบให้กับคุณผู้หญิงทุก ท่านที่กำลัง คิดจะใช้วิธีลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนด้วยการว่ายน้ำมาฝากกันค่ะ สำหรับคำถามที่คาใจคุณผู้หญิงที่ว่า ว่ายน้ำลดน้ำหนักได้ไหม หรือ ว่ายน้ำลดความอ้วนได้ไหม นั้น จริง ๆ แล้วการว่ายน้ำถือว่าเป็นการออกกำลังที่ได้ครบทุกสัดส่วนซึ่งนับว่าดีมากที เดียวที่จะในการลดน้ำหนักและลดความอ้วน หากแต่ต้องระมัดระวังเรื่องที่เรากำลังจะบอกต่อไปนี้


ว่ายน้ำลดน้ำหนักได้ไหม ? ว่ายน้ำลดความอ้วนได้ไหม ?
 
การว่ายน้ำกระตุ้นให้หิวและกินมากขึ้นนักวิจัยมหาวิทยาลัย ฟลอริดา รายงานว่า ผู้ที่ว่ายน้ำในน้ำเย็นจะทานอาหารหลังจากออกกำลังกายมากกว่าผู้ที่ว่ายน้ำใน น้ำอุ่น เมื่อคำนวณแคลอรีแล้วพบว่า ผู้ที่ว่ายน้ำในน้ำเย็นกินมากกว่าผู้ที่ว่ายน้ำในน้ำอุ่น เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้พออธิบายได้ว่า ทำไมผู้ที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการว่ายน้ำจึงไม่ค่อยเห็นผล เช่นกับผู้ที่เลือกวิ่งจ๊อกกิ้งหรือขี่จักรยาน

ฉะนั้นเมื่อรู้ถึงข้อ เสียของการว่ายน้ำลดน้ำหนักแล้วก็นำมาปรับปรุงเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการ ลดน้ำหนักและลดความอ้วนของคุณด้วยนะค่ะ การว่ายน้ำถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการลดน้ำหนักที่ได้ผลอย่างแท้จริง ต่อไปนี้สำหรับคำถามที่ว่า ว่ายน้ำลดน้ำหนักได้ไหม หรือ ว่ายน้ำลดความอ้วนได้ไหม คงไม่ต้องคาใจคุณผู้หญิงอีกต่อไปแล้วนะค่ะ

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับการลดความอ้วน จาก สนุกดอทคอม

สูตรลดความอ้วนพระราชทาน ของสมเด็จพระเทพฯ

วันนี้จะมาแนะนำอีกหนึ่งสูตรลดน้ำหนักดีๆ เป็นสูตรลดน้ำหนักพระราชทานและ เป็นสูตรลดน้ำหนักของสมเด็จพระเทพฯ อีกด้วยค่ะ คุณผู้หญิงทั้ง หลายที่เคยได้ยิน สูตรลดน้ำหนักพระราชทานกันมาบ้างแล้ว  แต่ยังไม่เคยเห็นสูตรลดน้ำหนักพระราชทาน แบบเต็ม ๆ สักที วันนี้เราก็นำสูตรลดน้ำหนักพระราชทานมาบอกกล่าวกันแล้วนะค่ะ

มีสูตรลดน้ำหนักด้วยกัน 2 สูตรค่ะ สูตรลดน้ำหนัก สูตรแรกจะเป็นแบบ 1 อาทิตย์ แต่สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 9 กิโลกรัม ด้วยกัน ส่วนสูตรลดน้ำหนัก สูตรที่สองจะเป็นแบบ 13 วัน แต่สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 7-20 กิโลกรัม ด้วยกันค่ะ เอาเป็นว่าใครอยากลองลดน้ำหนักให้ได้เยอะ ๆ ก็ลองนำไปปฏิบัติกันดูนะค่ะ



ก่อนอาหารต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้ว งดน้ำตาล น้ำมันหมู แอลกอฮอล ของทอดทุกชนิดด้วยนะค่ะ

วันที่ 1
เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น สลัดผัก

วันที่ 2
เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น สลัดผัก

วันที่ 3
เช้า กาแฟไม่ใส่น้ำตาล หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน เกาเหลาลูกชั้น 1 ชาม(หมู, เนื้อ)
เย็น สลัดผัก

วันที่ 4
เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟดำและขนมปัง 1 แผ่น
กลางวัน สลัดผัก และไก่ยาง 1 ชิ้น
เย็น โยเกิร์ต 1 ถ้วย

วันที่ 5
เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1
กลางวัน ส้มตำ และไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น สลัดผัก

วันที่ 6
เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน ปลานึ่ง หรือ ปลาเผา ไม่จำกัด
เย็น สลัดผัก

วันที่ 7
เช้า ข้าว 1 ทัพพี และเนื้อ 1 ชิ้น หรือไข่ต้ม 1ฟอง
กลางวัน เกาเหลาลูกชั้น 1 ชาม (หมู, เนื้อ)
เย็น สับปะรด 1 ชิ้น
...............................................................................................................................................................................................


แล้วก็อีกสูตรคะ สำหรับคนที่อยากรีเซ็ตร่างกายและน้ำหนักให้คงที่และไม่กลับมาอ้วนคะ

โครงการควบคุมอาหาร 13 วัน

จุดประสงค์โครงการนี้ เพื่อปรับปรุงการเผาผลาญอาหารของร่างกายหลังจากครบ 13 วันแลัวจะรับประทานอาหารได้ตามปกติ น้ำหนักจะไม่ขึ้นเป็นเวลา 2 ปี

ข้อสำคัญ

หากทำตามตารางนี้อย่างเคร่งครัดจะลดน้ำหนักได้ประมาณ 7-20 กิโลกรัม ปริมาณอาหารในช่วงควบคุมจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่ท่านไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้เสียสุขภาพเพราะส่วนที่ขาดภายในร่างกายจะทำ ปฏิกิริยาการเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้ตามร่างกายมาใช้เป็นพลังงานทดแทน
ระยะเวลา 13 วันนี้ ห้ามดื่มเบียร์ ไวน์ สุรา ขนมหวาน หมากฝรั่ง ลูกอม หรืออาหารอื่นๆ แม้เพียงเล็กน้อย การควบคุมอาหารครั้งนี้จะไม่บังเกิดผลใดๆ เลย และถ้าจะเริ่มต้นใหม่ต้องทำการทำหลังจาก 3 เดือนไปแล้ว

ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่สามารถควบคุมได้ครบ 13 วัน ท่านจะเป็นผู้ที่มีรูปร่างสมส่วนตามที่ต้องการ และถ้าต้องการควบคุมอีกต้องหลังจาก 1 ปี ไปแล้ว แต่ถ้าเลย 2 ปี ไปแล้วจะดีที่สุด

ข้อแนะนำ
หากคุณรู้สึกหิวนอกเหนือจากเวลาที่กำหนดให้ดื่มน้ำมาก ๆ ห้ามดื่มหรือทานอาหารอย่างอื่นแทน

หมายเหตุ
- ผักต้มถ้าใช้ผักขมไทยได้จะดี (ใช้ผักกาดขาวหรือกวางตุ้งแทนได้)
- มะเขือเทศผลใหญ่ 1 ผล ถ้าผลเล็กใช้ 3 ผล
- เนื้อไก่อบ ใช้เนื้อสันหรือเนื้อหน้าอกไม่ติดหนัง 2 ขีด
- ผักสลัดใช้ผักกาดหอม 1 ต้นเล็ก หอมใหญ่ 1 หัว แตงกวา 2 ลูกหั่นรวมได้ผัก 1 จาน
- น้ำสลัดใส ใช้ 1 ถ้วย ( 3-4 ช้อนโต๊ะ หรือใช้น้ำสลัดน้ำข้นแทนก็ได้)
- น้ำมะนาวใช้มะนาวสด 1-2 ผล ชงน้ำร้อนใส่เกลือ ใส่น้ำแข็งดื่มได้
- โยเกิร์ตถ้ามีรสจืดจะดีมาก ถ้าหาไม่ได้เลือกตามรสที่ชอบ
- ผลไม้สด 1 ผล เช่น แอปเปิ้ล ชมพู่ มะม่วง ส้มเขียวหวาน กล้วย
- ใช้ปลาช่อนแทนปลากระพงก็ได้
- น้ำเปล่าดื่มได้ทั้งวัน วันละ 2 - 3 ลิตร

นอกเหนือจากรายการอาหารนี้ถ้าหิวให้ดื่มน้ำเปล่าแทนได้อย่างเดียว


สูตรลดน้ำหนัก ภายใน 13 วัน ลดน้ำหนัก 13 กิโลกรัม

วันที่ 1
อาหารเช้า - กาแฟดำ 1 ถ้วย (น้ำตาล 1 ก้อน)
อาหารเที่ยง - ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง ผักกาดต้ม 3 ขีด มะเขือเทศ 1 ผล
อาหารเย็น - เนื้อไก่อบ 2 ขีด ผักสลัดน้ำใส น้ำมะนาว

วันที่ 2
อาหารเช้า - กาแฟดำ 1 ถ้วย (น้ำตาล 1 ก้อน)
อาหารเที่ยง - เนื้อหมูอบ 2.5 ขีด โยโกิร์ต 1 ถ้วย
อาหารเย็น - เนื้อไก่อบ 2 ขีด ผักสลัดน้ำใส น้ำมะนาว ผลไม้สด 1 ผล

วันที่ 3
อาหารเช้า - กาแฟดำ 1 ถ้วย (น้ำตาล 1ก้อน) ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
อาหารเที่ยง - ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง เนื้อหมูอบ 1 ขีด ผักสลัดน้ำใส น้ำมะนาว
อาหารเย็น - คื่นไช่ต้มสุก 3 ขีด มะเขือเทศ 1 ผล ผลไม้สด 1 ผล

วันที่ 4
อาหารเช้า - กาแฟดำ 1 ถ้วย (น้ำตาล 1ก้อน) ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
อาหารเที่ยง - น้ำส้มคั้น 1 แก้ว โยโกิร์ต 1 ถ้วย
อาหารเย็น - ไข่ต้มแข็ง 1 ฟอง แครอทสด 1 หัว นมรสจืด 1 กล่อง

วันที่ 5
อาหารเช้า - แครอทสด 1 หัว ราดด้วยน้ำมะนาว (ส้มตำ)
อาหารเที่ยง - เนื้อปลากะพงนึ่ง 2 ขีด
อาหารเย็น - เนื้อไก่อบ 2 ขีด ผักสลัดน้ำใส

วันที่ 6
อาหารเช้า - กาแฟดำ 1 ถ้วย (น้ำตาล 1ก้อน) ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
อาหารเที่ยง - ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง แครอทสด 1 หัว
อาหารเย็น - เนื้อไก่อบ 2 ขีด ผักสลัดน้ำใส น้ำมะนาว

วันที่ 7
อาหารเช้า - ชา 1 ถ้วย ไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
อาหารเที่ยง - น้ำเปล่าอย่างเดียว
อาหารเย็น - เนื้อหมูอบ 2 ขีด ผลไม้สด 1 ผล

วันที่ 8
อาหารเช้า - กาแฟดำ 1 ถ้วย (น้ำตาล 1ก้อน)
อาหารเที่ยง - ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง ผักกาดต้ม 3 ขีด มะเขือเทศ 1 ผล
อาหารเย็น - เนื้อไก่อบ 2 ขีด ผักสลัดน้ำใส น้ำมะนาว

วันที่ 9
อาหารเช้า - กาแฟดำ 1 ถ้วย (น้ำตาล 1 ก้อน)
อาหารเที่ยง - เนื้อหมูอบ 2 ขีด โยโกิร์ต 1 ถ้วย
อาหารเย็น - เนื้อไก่อบ 2 ขีด ผักสลัดน้ำใส น้ำมะนาว

วันที่ 10
อาหารเช้า - กาแฟดำ 1 ถ้วย (ไม่ใส่น้ำตาล) ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
อาหารเที่ยง - ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง เนื้อหมูอบ 1 ขีด ผักสลัดน้ำใส น้ำมะนาว
อาหารเย็น - คื่นไช่ต้มสุก 3 ขีด มะเขือเทศ 1 ผล ผลไม้สด 1 ผล

วันที่ 11
อาหารเช้า - กาแฟดำ 1 ถ้วย (น้ำตาล 1 ก้อน) ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
อาหารเที่ยง - น้ำส้มคั้น 1 แก้ว โยโกิร์ต 1 ถ้วย
อาหารเย็น - ไข่ต้มแข็ง 1 ฟอง แครอทสด 1 หัว นมรสจืด 1 กล่อง

วันที่ 12
อาหารเช้า - แครอทสด 1 หัว ราดด้วยน้ำมะนาว
อาหารเที่ยง - เนื้อปลากะพงนึ่ง 2 ขีด (นึ่งด้วยน้ำมะนาว ใส่คื่นไช่ 1 ต้น)
อาหารเย็น - เนื้อไก่อบ 2 ขีด ผักสลัดน้ำใส

วันที่ 13
อาหารเช้า - กาแฟดำ 1 ถ้วย (น้ำตาล 1ก้อน) ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
อาหารเที่ยง - ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง แครอทสด 1 หัว
อาหารเย็น - เนื้อไก่อบ 2 ขีด ผักสลัดน้ำใส น้ำมะนาว

สาวๆ ที่อยากมีหุ่นที่สวย  ลองนำสูตรเด็ดๆ พระราชทานนี้ไปทำกันดูนะค่ะ  ได้ผลดีทันตาเห็นอย่างไร  ก็อย่าลืมบอกต่อ  รายงานผลให้เพื่อนๆ ได้อิจฉาด้วยนะค่ะ Sanook!Women  เอาใจช่วยให้ผู้หญิงทุกคน สวยและสุขภาพ(หุ่น)ดี ค่ะ ^^

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับการลดความอ้วน จาก สนุกดอทคอม
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.photos.com/

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

แนะนำ...วิธีการล้างเครื่องสำอางค์ที่ถูกต้อง

สำหรับผู้หญิงอย่างเราๆ นั้นการแต่งหน้าถือว่าเป็นกิจวัติประจำวันไปเลยก็ว่าได้ แล้วยิ่งสาวๆ บางคนนะค่ะ กลัวไม่เนียนจร้านางโบ๊ะเต็มที่เลย ทำให้เครื่องสำอางค์อาศัยและฝังบนในหน้าของเรา ถ้าหากว่าเราล้างหน้าไม่สะอาดเนี๊ย...สิ่งสกปรกทีติดค้างก็จะค่อยๆ ทำร้ายผิวหน้าของเราไปเรื่อยๆ โอ้วน้อววว.....ไม่นะไม่ยอมไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราจะมีที่ล้างเครื่องสำอางค์โดยตรงอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยล้างเครื่องสำอางค์ได้อย่างหมดจดนะค่ะ มันต้องมี วิธีการล้างเครื่องสำอางค์ที่ถูกต้อง ด้วยนะค่ะ แล้ววันนี้ N3K จะมาแนะนำ...วิธีการล้างเครื่องสำอางค์ที่ถูกต้อง มาบอกสาวๆ กันค่ะ อยากรู้แล้วใช่ไหมหล่ะค่ะว่า วิธีการล้างเครื่องสำอางค์ที่ถูกต้อง ที่เราได้นำมาบอกกันในวันนี้จะเป็นอย่างไร งั้นเอาเป็นว่าถ้าอยากรู้แล้วว่า วิธีการล้างเครื่องสำอางค์ที่ถูกต้อง นั้นจะง่ายและช่วยทำความสะอาดผิวหน้าจากเครื่องสำอางค์ได้หมดจดแค่ไหนที่ สำคัญการล้างเครื่องสำอางค์ที่ถูกต้องจะไม่ทำให้เราเกิดริ้วรอยก่อนวัยอัน ควรด้วยนะค่ะ ว่าแล้วเราก็ไปดูกันเลยค่ะ




วิธีการล้างเครื่องสำอางค์ที่ถูกต้อง - ผิวรอบดวงตา

ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่บอบบางมาก เวลาทำความสะอาด ล้างเครื่องสำอาง แนะนำให้หยดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ใส่ลงสำลีพอประมาณจากนั้นเช็ดออกอย่างเบามือ ห้ามถูไปถูมาเด็ดขาด ถ้าเป็นตรงเปลือกตา ก็ค่อยๆ เช็ดลงมาจนถึงตรงขอบตา เพื่อจะรูดมาสคาร่าให้ติดออกไปตามปลายขนตา สำหรับตรงขอบตา ก็แนะนำให้พับสำลีเป็นมุมสามเหลี่ยมเช็ดออกอย่างเบาๆ

- ริมฝีปาก
เมื่อพับสำลีเป็นสามเหลี่ยมแล้ว ก็ใช้ตรงมุมเช็ดตามร่องปาก โดยเช็ดในแนวดิ่งจากด้านในออกมาตรงด้านนอกริมฝีปาก ไม่แนะนำให้ถูในแนวขวาง เพราะจะทำให้ริมฝีปากแตกและถ้าทำซ้ำๆ นานๆ ไป มีผลให้ริมฝีปากเป็นร่องและมีรอยย่นเหี่ยว

- ผิวหน้า
เริ่มจากบริเวณที-โซนก่อน โดยเริ่มวนจากบริเวณหน้าผาก จมูกและคาง และควรใช้นิ้วนางและนิ้วกลางสำหรับคลึงวนในการทำความสะอาดโดยคลึงวนอกตามจุดต่างๆ บนผิวหน้า ถ้าคุณเลือกใช้คลีนซิ่งออยล์ ก็สามารถล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดได้เลย แต่ถ้าเป็นคลีนซิ่งเจลหรือน้ำนม คุณต้องซับหน้าด้วยทิชชูก่อน แล้วค่อยตามด้วยน้ำสะอาดและโฟมล้างหน้า

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับผิวพรรณ  จาก modernmom 

เคล็ดลับวิธีบำรุงผิว ให้ได้ผลเกินคาด

ผิวเป็นอีกหนึ่งสิ่งในร่างกายที่เหล่าสาวๆ มักจะให้ความสนใจและดูแลเป็นพิเศษ ก็การมีผิวที่ขาวกระจ่างใสนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สาวๆ นั้นแลดูจะมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากว่าวิธีบำรุงผิวที่เรารู้หรือเห็นกันนั้นก็เป็นวิธีแบบชั่วคราว และที่น่าตกใจคือบางวิธีโฆษณามาสะดิบดี อะนิจาทดลองเป็นปียังไม่ได้ผลเลยจร้า เพราะเหตุที่ว่าเราไม่รู้วิธีที่แน่นอนนี่เองทำให้การบำรุงดูแลผิวนั้นเป็น เรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร แต่นับจากวินาทีนี้ไปปัญหาการบำรุงผิวนั้นจะไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจของ สาวๆ ได้อีกต่อไป เพราะว่าวันนี้ทาง N3K มี "เคล็ดลับวิธีบำรุงผิว" ให้ได้ผลเกินคาด มาแนะนำกันค่ะ เชื่อว่าตอนนี้สาวๆ หลายๆคนก็คงอยากที่จะรู้แล้วว่า "เคล็ดลับวิธีบำรุงผิว" ให้ได้ผลเกินคาด ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้จะเป็นอย่างไร แล้วจะได้ผลขนาดไหน งั้นเอาเป็นว่าตอนนี้เราไปดู เคล็ดลับวิธีบำรุงผิว ที่เรานำมาฝากกันเลยดีกว่านะค่ะ ว่าจะง่ายและได้ผลอย่างที่สาวๆ ตามหารึป่าว

เผยเคล็ดลับวิธีบำรุงผิว

1. ขัดผิวซะก่อน
บำรุงผิว เซลล์ผิวที่ตายแล้วจะเป็นเหมือนเกราะกำบังที่ทำให้สกินแคร์ซึมซาบลงสู่ชั้นผิวหนังได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงควรสครับผิวอย่างน้อยทุกสัปดาห์ควบคู่ไปกับขั้นตอนทำความสะอาดผิว

2. เรียงลำดับขั้นตอนการบำรุงผิว
ส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพที่สุดนั้นควรจะเป็นตัวส่งผ่านไปยังผิวก่อน ดังนั้น ในการใช้สกินแคร์จึงต้องเรียงลำดับโดยเลือกใช้เนื้อผลิตภัณฑ์ที่บางสุด เช่น เอสเซนส์ หรือ เซรั่ม แล้วค่อยตามด้วยผลิตภัณฑ์ที่เนื้อเข้มข้นขึ้นอย่างโลชั่นหรือครีม

3. บำรุงผิว
ทันที หลังล้างหน้า ผิวที่เปียกชื้นนั้นก็เป็นเหมือนฟองน้ำที่จะสามารถซึมซับน้ำได้ดี การใช้ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิว ใดๆ ก็ตามจะได้ผลดียิ่งขึ้นเมื่อผิวหน้ายังคงความชื้น (ไม่ใช่เปียกนะ) แต่วิธีนี้อย่านำไปใช้กับการทาครีมกันแดดล่ะ เพราะอาจจะเกิดคราบได้

4. วอร์มผิวก่อน

หาก คุณใช้น้ำที่มีความอุ่นเล็กน้อยล้างหน้า จะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดใต้ผิวหนังและเป็นการเปิดรูขุมขน เพิ่มพื้นที่ให้เซลล์ผิวหนังดูดซับคุณค่าจากผลิตภัณฑ์ได้ เมื่อทาครีม บำรุงผิว ต่างๆ ลงไปบนผิวที่ยังชื้น มันก็จะทำงานได้ดีขึ้น
 

5. ปิดท้ายด้วยครีมเนื้อแน่น
ควร บำรุงผิว ด้วยครีมเนื้อเข้มข้นเป็นอันดับสุดท้าย เช่น ครีมเนื้อบัตเตอร์มีส่วนผสมของปิโตรเลียม, แว๊กซ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ผิวดูดสาร บำรุงจากสกินแคร์ได้ดีขึ้น ครีมเนื้อเข้มข้นจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวไม่แห้งตึง แต่สำหรับคนหน้ามันที่เป็นสิวง่าย ควรคิดให้ดีหากใช้แล้วผิวมันเยิ้ม

6. บำรุงผิว

ยามค่ำคืน การไหลเวียนโลหิตนั้นตื่นตัวในยามที่เราหลับ ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณครึ่งองศา และนี่ เป็นจังหวะที่ดีซึ่ง Retinoids รวมทั้งส่วนผสมอื่นๆ จะเข้าฟื้น บำรุงผิว ได้อย่างดี ดังนั้น เมือใช้สกินแคร์ทั้งหมดทั้งมวลเสร็จ จึงควรตรงดิ่งไปที่เตียงและนอนหลับพักผ่อนเลย

7. ครีมกันแดด+แอนตี่ออกซิแดนท์

ทั้งสองอย่างนี้เกิดมาคู่กัน เพื่อทำให้การ บำรุงผิว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพในระหว่างวัน โดยก่อนที่จะลงครีมกันแดดก็ให้ทาให้ใช้เซรั่มที่มี สารแอนตี้ออกซิแดนต์ ลงไปก่อน

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับผิวพรรณ  จาก modernmom 

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

เผย...เคล็ดลับการมีผิวสวยใส

ผิวสวยใสพูดแล้วใครๆ ก็อยากมี แต่เพราะว่า เคล็ดลับการมีผิวสวยใส นั้นมันมีมากมายหลายวิธี ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มทดลองจากวิธีไหนดี เยอะอะค่ะไม่รู้ว่าจะได้ผลไหม ถ้าไม่ได้ผลแล้วต้องลองอีกกี่วิธีหล่ะเนี้ย โอ้ย...ทั้งเยอะ ทั้งวุ่นวาย ทั้งยุ่งยากเลยสิทีนี้ เพราะนี้หล่ะค่ะที่เป็นสาเหตุให้การมีผิวสุขภาพดีนั้นดูยุ่งยาก แต่นับจากนี้จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วค่ะ วันนี้เราจะมาเผย...เคล็ดลับการมีผิวสวยใส ให้ ได้รู้กันค่ะ แล้วสาวๆ จะได้รู้ว่า เคล็ดลับการมีผิวสวยใส ที่ง่ายๆ นั้นหาไม่ยาก และก็ไม่วุ่นวายอย่างที่คิด แล้วหนึ่งในนั้นก็มี เคล็ดลับการมีผิวสวยใส ที่เรานำมาบอกเล่ากันในวันนี้ด้วยนะค่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้ถ้าสาวๆ อยากรู้แล้ว ก็อย่ามัวรอช้าเลยนะค่ะ เราไปดู เคล็ดลับการมีผิวสวยใส ที่เรานำมาบอกกันในวันนี้ดีกว่านะค่ะ พร้อมแล้วลุยโลด...! แล้วคุณจะได้รู้ว่าการมีผิวสวยใสเป็นเรื่อง่ายๆ ที่คุณก็สามารถทำเองได้



5 เคล็ดลับการมีผิวสวยใส


1. ครีมกันแดด
ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านให้ติดเป็นนิสัยนะจ๊ะ เพราะแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ทำให้ผิวเราสื่อมได้มากถึง 80%เชียวนะ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวขาวใสของเราเกิดริ้วรอย และเหยี่ยวย่นค่ะ

2. ท่านอน
การนอนของคนเราอย่างน้อยต้องใช้เวลาถึง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน สำหรับคนที่ชอบนอนซุกหน้ากับหมอนจะทำให้ด้านที่ตะแคงเข้าหาหมอนเกิดริ้วรอย มากกว่าอีกด้านนึงค่ะ เพราะฉะนั้นเราควรเปลี่ยนท่านอนมาเป็น ท่านอนหงายหรือเลือกใช้หมอนที่อ่อนนุ่ม และเลือกปลอกหมอนที่มีเนื้อผ้าลื่นๆ เช่น ผ้าซาติน เพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้ และหน้าขาวใสของเราก็จะปราศจากริ้วรอยค่ะ
3. อาหาร
ผิวขาวใสมาจากอาหารที่ดี มีประโยชน์ ครบหมดหมู่นะจ๊ะ โดยเฉพาะวิตามินที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว ได้แก่ วิตามินเอ ซี และอีค่ะ อย่างเช่น ผักสดและผลไม้สดค่ะ และเมื่อทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว อย่าลืมดื่นน้ำให้มากๆประมาณ 6-8แก้วต่อวันนะค่ะ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น สดใสให้แก่ผิวค่ะ

4. พักผ่อน
ต้องรู้จักการพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ เพราะผิวขาวใสของเรานั้นจะมีได้ ต้องเริ่มมาจากสุขภาพที่ดีนะจ๊ะ ถ้าเราสุขภาพดี แข็งแรง ผิวพรรณของเราก็จะสวย สดใสตามไปด้วยค่ะ

5. ผ่อนคลาย
ความเครียดเป็นบ่อเกิดของใบหน้าหมองคล้ำ ริ้วรอย สิว และอื่นๆนะจ๊ะ เพราะฉะนั้น เราควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียดบาง อย่างเช่น การนั่งสมาธิ การฟังเพลง เดินเล่น เป็นต้น ก็ช่วยลดความเครียดได้ค่ะ

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับผิวพรรณ  จาก modernmom

12 วิธีมี... ผิวหน้าที่สวยใส

ถ้าจะให้เราดูแลผิวหน้าและผิวกายถามสาวๆ เลยจะดูแลสิ่งไหนเป็นอันดับแรกค่ะ อะๆ อย่าโลภนะมันเลือกได้ข้อเดียว อิอิ จากที่เรารู้มาผิวหน้าเป็นส่วนแรกที่ไม่ว่าใครก็อยากที่จะดูแลให้ดี ไร้ตำหนิหรือร่องรอยเพราะอะไรหน่ะหรอค่ะ ก็เพราะว่าคนเราขายหน้าไงค่ะ อุ้ย! ไม่ใช่ขายหน้าอย่างที่คิดนะค่ะอย่าเพิ่งตกใจนะ ขายหน้าในความหมายที่จะสื่อก็คือว่า ไม่ว่าเราจะไปไหน มาไหนหน้าของเรานี่แหละค่ะที่จะเป็นจุดเด่นและเป็นสิ่งที่สะดุดทุกสายตายตา ได้  ถ้าแบบหน้าของเรามีตำหนิ มีริวรอย โอ้ไม่ ไม่ต้องให้อธิบายเลยค่ะ ทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วการดูแลผิวหน้าให้สวยใสจึงเป็นสิ่งที่สาวๆ หลายๆ คนนั้นต้องการ แล้ววันนี้ค่ะวันนี้เรามี 12 วิธีมี... ผิวหน้าที่สวยใส มา ฝากกันค่ะ แค่ 12 วิธีนี้จริงๆ สาวๆ ก็จะสมารถมี ผิวหน้าที่สวยใส ได้ย่างง่ายดายแล้วแหละค่ะ งั้นเอาเป็นว่าตอนนี้เราอย่ามัวรอช้าเลยนะค่ะ ไปดูกันเลยดีกว่าว่า 12 วิธีมี... ผิวหน้าที่สวยใส นี้จะเป็นอย่างไร แล้วจะง่ายขนาดไหน



แนะนำ 12 วิธีเพื่อ ผิวหน้าที่สวยใส


1. อย่าถ่างตานอนดึกให้มันมากนัก
อย่ามัวแต่คิดว่าคุณน่ะยังไหว…ใจไหวแต่สังขารอาจไม่ไหวก็ได้

2. ดื่มน้ำมากๆ

ไอ้ที่เขาว่าให้ดื่มวันละ 6-8 แก้วน่ะ ถ้าคุณดื่มได้มากกว่านั้นได้ ก็จะเป็นการดี และยิ่งถ้าเป็นน้ำเปล่าด้วยล่ะก็จะยิ่งดีใหญ่ หากคุณชอบดื่มน้ำอัดลมก็ดื่มได้เป็นครั้งคราว เพราะถ้าดื่มมากไปจะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และกัดกระเพาะคุณจนปวดท้องได้

3. ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ

บริหารตัวแล้วอย่าลืมบริหารหน้า นวดหน้าด้วยนะ ตัวเต่งตึงแต่หน้าเหี่ยวละก้อ หมดกัน!
4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ เพราะมันจะทำให้คุณแก่เกินอายุ
ใครจะเถียงคอเป็นเอ็นละก้อ !!! ท้าให้คุณที่สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟจัดๆ ลองเดินคู่กับเพื่อนที่ไม่ดื่ม ไม่สูบ แล้วถามคนอื่นๆ ดูว่า คุณกับเพื่อนใครแก่กว่าใคร (ข้อสำคัญ เขาต้องไม่รู้จักเพื่อนคุณมาก่อนนะ เพื่อป้องกันการลำเอียง) พึงระลึกไว้เสมอว่าอย่าเข้าข้างตนเองแต่ให้คนอื่นที่เขาหวังดีต่อคุณ มองคุณจะดีกว่า
6. อย่าตากแดดเป็นเวลานานๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัดเป็นเวลานนๆมิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ไม่รู้ตัวเชียว
7. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์ ที่เปิดเบอร์เดียว หนาวจัดตลอดปี ตลอดชาติ หากแอร์ของคุณปรับได้ กรุณาปรับเถอะ เพราะบางบริษัทเปิดแอร์เย็นแบบทุกข์ทรมาน พนักงานนั่งสั่น ใส่เสื้อกันหนาวกันโดยทั่วหน้า ก็ในเมื่อมันทุกข์ขนาดนั้น จะต้องเปิดให้มันทรมานทำไม

8. ทำความสะอาดร่างกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ แล้วยิ่งหาก คุณเป็นสิวด้วยแล้วล่ะก็ ให้คุณใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิว เท่านั้น โฟมที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะสิวอย่างเด็ดขาด คนที่เป็นสิวเสี้ยนหากยิ่งแกะ ผิวของคุณหลังแกะก็จะคล้ายกับโลกพระ จันทร์ ส่วนบรรดาสิวมีหนองทั้งหลาย หากยิ่งแกะก็จะยิ่งเกิดการอักเสบ สิวเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้ใบหน้า ของคุณดูเครียดและแก่ได้ โดยเฉพาะบรรดาผิวโลกพระจันทร์ทั้งหลาย
9. ขัดหน้าด้วยตนเอง

โดยการใช้สครับ หากคุณเป็นคนผิวมัน ให้ขัดอาทิตย์ละ 2 ครั้งเท่านั้นโดยขัดนานๆ บริเวณดั้งจมูก และคางที่มีสิวเสี้ยน
10. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ก่อนนอนทุกครั้ง
หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่แห้งเป็นพิเศษ ควรใช้โลชันที่มี AHA ให้ทั่วบริเวณ แต่หากคุณป็นคนหน้ามัน ควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิดครีม
11. อย่าใช้มืออันแสนสกปรกในช่วงวันไปสัมผัสบนใบหน้า

จำไว้ว่าทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงาน หรือทันทีที่กลับถึงบ้านให้คุณล้างมือก่อนเสมอ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาให้สิวขึ้นได้
12. ล้างเครื่องสำอางค์ออกอย่างระมัดระวัง

เพื่อความปลอดภัยให้คุณล้างมาสคารา หรืออายแชโดว์ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ อันจะชักนำให้สิวพากันมาขึ้นพร้อมกัน โดยมิได้นัดหมาย

หากคุณมีปัญหาเรื่องผิวบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็แล้วแต่ ให้คุณปรึกษา แพทย์โรคผิวหนังที่ชำนาญเท่านั้น อย่าได้มัวเสียเวลาไปหาที่ปรึกษาความงามตามเคาน์เตอร์ต่างๆ เพราะใครจะมารู้ดีเท่ากับแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับผิวพรรณ  จาก modernmom

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

เทคนิครับมือความป่วนกำลังสอง เมื่อคุณต้องเลี้ยงลูกแฝด


แค่เลี้ยงลูกคนเดียวก็ยุ่งจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งถ้ามาพร้อมกันสองคนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะเจ้าตัวป่วนที่เพิ่มขึ้นก็หมายถึงปัญหาความวุ่นวายที่มากขึ้นด้วย เหมือนกัน คุณแม่ลูกแฝดทั้งหลายจึงต้องเตรียมตัวรับมือคู่แฝดตัวยุ่งไว้ด้วยการทำตาม นี้ดู

 1. จำไว้ว่าพวกเขาเป็นคนละคน

แม้ ว่าแฝดแทบทุกคู่จะเหมือนกันซะจนแทบแยกไม่ออก แต่ยังไงพวกเขาก็เป็นคนละคนกันนะ และไม่มีใครชอบใช้ชีวิตเป็นแค่เงาของกันและกันด้วย ดังนั้นคุณต้องแยกพวกเขาให้ออก ด้วยการใส่ใจจำว่าคนไหนชอบอะไร นิสัยแบบไหน และทำให้เขามั่นใจได้ว่าคุณรักพวกเขาทั้งคู่เท่า ๆ กัน แม้จะมองออกว่าพวกเขาต่างกันแค่ไหนก็ตาม

 2. มองหาคนช่วย

ลูก คนเดียวก็ทำเอาเราหัวหมุนไปทั้งวันแล้ว และในเมื่อตอนนี้เรามีปัญหาคูณสองจากการมีเด็กทารกมาเพิ่มพร้อมกันถึง 2 คน การเลี้ยงลูกตามลำพังก็อาจไม่ไหว โดยเฉพาะบรรดาคุณแม่สาวโสดที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ดังนั้นลองจ้างพี่เลี้ยงมาช่วยดู หรือขอให้คุณพ่อคุณแม่มาช่วยเลี้ยงหลานก็น่าจะเบาแรงไปได้อีกเยอะ แถมยังช่วยให้ครอบครัวได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกต่างหาก

 3. เข้าร่วมสมาคมผู้ปกครอง

แทน ที่จะอยู่เฉย ๆ ก็สู้เข้าร่วมสมาคมผู้ปกครองมันซะเลย คุณจะได้แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องเด็กกับพ่อแม่คนอื่น ๆ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่เขามีลูกแฝดเหมือน ๆ กับคุณยังไงล่ะ นอกจากนี้ยังช่วยให้ลูกของคุณได้ฝึกการเข้าสังคม ด้วยการพบปะกับเด็กคนอื่น ๆ จนมีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นเยอะแยะอีกด้วย

 4. ใช้อินเทอร์เน็ตเข้าช่วย

ความ รู้บนอินเทอร์เน็ตนั้นมีมากมายไม่รู้จบ แถมยังหาง่ายสะดวกรวดเร็วทันใจอีกต่างหาก เพียงแค่กดคำค้นหาสั้น ๆ ข้อมูลก็ขึ้นมามากมายลายตาจนคุณแทบเลือกอ่านกันไม่ทันแล้ว และนอกจากมันจะช่วยให้คุณหาวิธีรับมือเลี้ยงลูกแฝดได้มากขึ้นแล้ว ยังสามารถใช้เป็นแหล่งหาข้อมูลป้องกันโรคต่าง ๆ ให้กับลูกที่ยังเล็กของคุณได้เหมือนกันนะ

 5. ให้เวลาพวกเขาเท่า ๆ กัน

ถึง ลูกแฝดทั้งสองของคุณจะชอบใช้เวลาเล่นด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมงไม่รู้เบื่อสักหน่อย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เวลาพร้อมหน้าครบทั้งครอบครัวตลอดก็ได้ ลองพาเขาแยกไปทำกิจกรรมที่ชอบร่วมกับคุณดู แต่ต้องมั่นใจด้วยนะว่าคุณให้เวลาพวกเขาเท่ากันทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นได้มีน้อยใจพ่อแม่และอิจฉากันแน่นอนเลย

 6. สนับสนุนสิ่งที่เขาชอบ

เด็ก บางคนก็ฉายแววถึงพรสวรรค์หรือสิ่งที่ตัวเองสนใจอยากจะทำเมื่อโตขึ้นได้ ตั้งแต่เล็ก ๆ ซึ่งถ้าคุณส่งเสริมสิ่งที่เขาชอบเสียแต่เนิ่น ๆ พรสวรรค์พวกนี้ก็อาจพัฒนากลายเป็นความสามารถที่ทำให้ลูกของคุณประสบความ สำเร็จในอนาคตก็ได้ ซึ่งความถนัดของแต่ละคนนั้นก็แตกต่างออกไป คุณจึงต้องสังเกตให้ดี และสนับสนุนสิ่งที่เขาชอบ ไม่ใช่ยัดเยียดความฝันของตัวเองมาให้เขาทำ

 7. เรื่องเข้าสังคมก็สำคัญ

ด้วย ความที่ยังไร้เดียงสา เด็ก ๆ หลายคนจึงมักมองข้ามความรู้สึกของคู่แฝดโดยไม่รู้ตัว จากการที่เหมารวมพวกเขาเป็นคนเดียวกัน ทำให้เด็กแฝดอดน้อยใจไม่ได้ และพาลขาดความมั่นใจไปด้วย คุณจึงต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ด้วยการนั่งอยู่ในบริเวณสนามเด็กเล่นคอยมองเวลาเขาอยู่กับเพื่อน ๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเขาไม่ถูกทอดทิ้ง และป้องกันอุบัติเหตุไปในตัว

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก  จาก komchadluek.net

บำรุงครรภ์ด้วยสารอาหารหลากชนิด

ทุกคนที่รู้ตัวว่ากำลังจะกลาย เป็นคุณแม่ มักจะเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อบำรุงอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังเติบโตอยู่ในครรภ์ แต่บางครั้งอาหารที่คุณแม่เลือกรับประทานก็ไม่ได้มีประโยชน์ กับลูกน้อยโดยตรง กลับไปเพิ่มน้ำหนักให้คุณแม่ต้องรีดออกหลังคลอดด้วยซ้ำไป อาหารบำรุงครรภ์สามารถแบ่งได้ตามประเภทของสารอาหารต่างๆ ที่เรากินเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง



ประเภทคาร์โบไฮเดรต อาหาร ที่ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงานในการเจริญเติบโต ควรรับประทานข้าวกล้องเป็นอาหารหลัก เพราะนอกจากจะให้พลังงานแล้วยังมีเส้นใยอาหาร เกลือแร่ และวิตามิน รวมถึงขนมปังโฮลวีต ธัญพืช ผัก และผลไม้

ประเภทโปรตีน เป็น สารอาหารที่ใช้ซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่สึกหรอ และภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกาย ควรรับประทานปลา เนื้อสัตว์ โยเกิร์ต ผลิตภัณฑ์จากนม ถั่ว งา และธัญพืช

ประเภทโฟเลต (กรดโฟลิก) เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันการพิการตั้งแต่กำเนิดของทารก ควรรับประทานตับ เห็ด ฟักทอง ผักใบเขียว ส้ม มะม่วง และมะละกอ

ประเภทไขมัน เป็นสารอาหารที่พัฒนาการ ระบบประสาท ตา สมอง ผิวหนัง และภูมิต้านทาน ควรรับประทาน งา ข้าวโพด ดอกคำฝอย และเมล็ด-ทานตะวัน

ประเภทไอโอดีน ช่วย สร้างฮอร์โมนของต่อม ไทรอยด์ ถ้าขาดไอโอดีนขณะตั้งครรภ์อาจทำให้แท้ง หรือทารกมีปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาด้านสติปัญญา ควรรับประทานอาหารทะเล

ประเภทวิตามินดี ช่วยดูดซึมฟอสฟอรัสและแคลเซียมผ่านผนังลำไส้ เพื่อกระดูกและฟัน ที่แข็งแรง ควรรับประทานไข่แดง เนย ตับ และนม

ประเภทแคลเซียม ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ควรรับประทานผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว และปลาที่กินได้ทั้งตัว

ประเภทวิตามินเอ จากเนื้อสัตว์จะอยู่ในรูปของเรตินอล ถ้าจากพืชจะอยู่ในรูปของเบต้า- แคโรทีน ควรรับประทานน้ำมันปลา ตับ ฟักทอง คะน้า มะม่วงสุก และมะละกอ

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก  จาก http://women.fanthai.com

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

หลากวิธีคลายเจ็บคลอดโดยไม่พึ่งยา



บรรเทาอาการเจ็บครรภ์คลอดโดยไม่ต้องใช้ยาและแม่ท้องสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา

ที่จริงเราคงมีประสบการณ์แก้ปัญหาอาการเจ็บปวดหลาก หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเป่าลูกประคบเวลาหัวโน เอาผ้าเย็นประคบเวลาปวดศีรษะ การใช้ใบพลับพึงอังไฟมาวางประคบกล้ามเนื้อ และอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนที่เราจะมองหายาฉีด วันนี้นำวิธีการต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้ทุกที่ทุกเวลามาให้พิจารณากันค่ะ

หลากวิธีการบรรเทาความเจ็บปวด โดยไม่ใช้ยามีหลายวิธีให้เลือกตามความสะดวก ดังนี้
 
          มีคนรู้ใจคอยเป็นเพื่อน ช่วยลดความวิตกกังวล และพบว่าสามารถลดการใช้ยาและการใช้เครื่องมือช่วยคลอดลงไปอย่างเห็นได้ชัด คอยช่วยซักถามคำถามร่วมเป็นกำลังใจ

          ให้คุณแม่เคลื่อนไหวและปรับเปลี่ยนท่าทางในระหว่างเจ็บครรภ์บ่อย ๆ นั่ง ยืน หรือเดิน เป็นท่าลุกขึ้นศีรษะสูง จะช่วยลดความเจ็บปวดได้ดีกว่าท่านอนหงาย เนื่องจากกดทับที่กระดูกก้นกบน้อยกว่า และช่วยให้ช่องคลอดสามารถขยายเพิ่มขึ้นได้ ลูกได้รับออกซิเจนดี และเพิ่มการบีบรัดตัวของมดลูกจาการที่ปากมดลูกถูกกระตุ้นจากการกดของศีรษะ เด็ก การนอนพักในท่านอนตะแคง หรือการโน้มตัวไปด้านหน้าก็ช่วยได้เช่นกัน

          ฝักบัวน้ำอุ่น การใช้น้ำในการบรรเทาอาการเจ็บคลอดสามารถนำมาใช้ได้หลายรูปแบบ เช่น การราดน้ำอุ่นลงบนจุดที่ปวด การแช่ในน้ำอุ่น การใช้ฝักบัว การเช็ดหน้าด้วยผ้าเย็น การพ่นละอองน้ำหรือสเปรย์ละอองน้ำลงที่ใบหน้าเพื่อการผ่อนคลาย เป็นต้น ทั้งนี้สามรถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังอุณหภูมิของน้ำไม่ให้ร้อนหรือเย็นเกินไป การแช่ในน้ำอุ่นควรทำเมื่อปากมดลูกเริ่มเปิด 3-5 ซม.ขึ้นไป

          ลูกประคบหรือใช้ผ้าชุบน้ำร้อนบิดหมาด ประคบบริเวณที่ปวด(จะให้ผลดีกว่าการใช้ความร้อนที่เป็น Dry Heat และช่วยลดการเกิดผลข้างเคียงของความร้อน เช่น Burn บริเวณที่ใช้แล้วได้ผลดี ได้แก่ ก้นกบ สะโพก ฝีเย็บ หลัง ต้นคอ ผลดีที่ได้รับจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและบรรเทาอาการปวด

          สัมผัสอ่อนโยน การกอด การจับมือ การลูบไล้เบา ๆ นอกจากจะช่วยระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนรัก Oxytocin แล้วยังช่วยให้รู้สึกได้รับการดูแล ความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ผ่อนคลายจะเกิดขึ้น สัมผัสยังช่วยสงเสริมกำลังใจได้เป็นอย่างดี

          นวดและกดจุด การบีบนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การบีบกดในจุดที่ลดอาการปวดซึ่งได้แก่ ก้นกบ สะโพก ฯลฯ โดยใช้อุ้งมือกดบริเวณก้นกบหรือสะโพกในขณะที่มดลูกหดรัดตัว มักใช้ร่วมกับการนวดเพื่อผ่อนคลายบริเวณหลัง หัวไหล่ แขน และต้นขา การกดบริเวณต่างๆ ของร่างกายจะมีผลบรรเทาอาการปวดได้ การกดจุดจะกดบริเวณเท้าและมือ จะกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและถ่ายเทพลังงานในร่างกายและช่วยทำให้ร่างกาย เข้าสู่สมดุล

          แสงไฟสลัว ช่วยสร้างบรรยายกาศสงบ เป็นส่วนตัว ช่วยให้พักผ่อนได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี

          เสียงเพลง จะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบ การเต้นของหัวใจ และการหายใจช้าลง ไม่ตื่นเต้นตกใจ ทำให้มีการหลั่งสารเอนดอร์ฟีน เอนเคบฟาลีน (enkephalin) และซีโรโตนิน (serotonin) ทำให้รู้สึกปวดน้อยลง สามารถเผชิญกับการหดรัดตัวของมดลูกได้ดีขึ้น

         หอมกรุ่นรื่นรมย์ ผ่อนคลาย การใช้น้ำมันหอมระเหย โดยการสูดดม หรือผสมในน้ำมันสำหรับนวดบริเวณผิวหนังเพื่อผ่อนคลาย กลิ่นที่ใช้ ได้แก่ Lavender ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและช่วยบรรเทาความรู้สึกเจ็บปวด Chamomile ช่วยให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย

          สติมาปัญญาเกิด การมีสติสำคัญที่สุด การตั้งเป้าหมายหรือกำหนดจิตของเราให้รับรู้ และบอกกับตัวเองเสมอๆ ว่าเราทำได้ เจ็บและคลอด คลอดแล้วหายเจ็บ หรือการสร้างพลังบวกให้กับตัวเองและพยายามทำต่อไป เราพบว่าความจดจ่อ ทำให้มีการผ่อนคลายและลดอาการปวด มีการใช้ยาบรรเทาปวดลดน้อยลง และระยะเวลาการคลอดสั้นลง

          การเบี่ยนเบนความสนใจออกจากความเจ็บปวด เช่น การมุ่งความสนใจไปยังเสียง ภาพ คำพูดหรือการหายใจที่เป็นแบบแผน (Pattern breathing) หรือการทำสมาธินั้นเอง โดยจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ความเจ็บปวดคล้ายกับการกำหนดลมหายใจ หรืออาณาปาณสติ ช่วยได้ค่ะ


ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก  จาก : momypedia.com

มีลูกคนแรกทั้งที เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายดีนะ?


ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายที่กำลังลุ้นว่าจะมีเจ้าตัวน้อยมาเสริมทัพให้ ครอบครัวอบอุ่นคึกคักขึ้น ถ้านี่เป็นลูกคนแรกของครอบครัว คุณอยากได้เป็นลูกสาวหรือลูกชายกันคะ .. ถ้าเป็นประเทศในแถบเอเชียที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรานัก อย่างจีนหรืออินเดีย ก็มักจะอยากได้ลูกชายมากกว่าลูกสาว ด้วยเหตุผลหลัก ๆ คือเพื่อสืบสกุล และผู้ชายเป็นเพศที่มีหน้ามีตาในสังคมได้มากกว่าผู้หญิง ส่วนทางสังคมฝรั่งน่าจะฟรี ๆ จะเป็นลูกสาวก็ได้หรือลูกชายก็ดี แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าคุณพ่อคุณแม่ชาวมะกันเอง ส่วนใหญ่ก็อยากได้ลูกผู้ชายมาเป็นลูกคนแรกเหมือนกัน ทว่าเหตุผลนั้นแตกต่างออกไป เพราะที่พ่อแม่ชาวอเมริกันอยากได้ลูกชายเป็นลูกคนแรกก็เพราะคิดว่าลูกชาย เลี้ยงดูง่ายกว่าลูกสาวต่างหาก

เว็บไซต์ คูปองโค้ด ฟอร์ ยู ได้ทำการสำรวจคู่รักที่เพิ่งแต่งงานชาวอเมริกันทั้งหมด 2,129 คู่ ถึงการมีลูกคนแรก และได้พบว่าคู่แต่งงานส่วนใหญ่ถึง 47% ต้องการมีลูกคนแรกเป็นลูกชาย ด้วยเหตุผลหลักเพราะคิดว่าลูกชายน่าจะเลี้ยงง่ายกว่าลูกสาว

          ทั้งนี้ในจำนวนคู่แต่งงานที่ระบุว่าต้องการมีลูกชายเป็นลูกคนแรกนั้น 63% เป็นคำตอบจากฝ่ายคุณผู้ชาย อันแสดงให้เห็นว่าคุณพ่อส่วนใหญ่อยากได้ลูกชายกันนั่นเอง โดย เหตุผลหลัก ที่ทำให้คู่รักคู่แต่งงานเหล่านี้อยากได้ลูกคนแรกเป็นลูกชาย คือ ลูกชายน่าจะเลี้ยงง่ายกว่าลูกสาว ซึ่งได้คะแนนไปถึง 45% ส่วนเหตุผลรองลงมา ได้เแก่ พี่ชายคนโตจะปกป้องน้อง ๆ คนหลังได้ดี และต้องการมีลูกชายไว้เพื่อสืบสกุลเป็นเหตุผลตามมาที่ 35% และ 19% ตามลำดับ

อย่าง ไรก็ดี เมื่อลองถามกลุ่มตรงข้ามถึงเหตุผลที่อยากมีลูกคนแรกเป็นลูกสาวดูบ้าง ก็ได้คำตอบว่า การมีลูกคนแรกเป็นลูกสาวน่าจะดีกว่า เพราะด้วยพื้นฐานนิสัยที่มีความแตกต่างกันของทั้งสองเพศ จึงคิดว่าพี่สาวคนโตน่าจะเป็นคนดูแลและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง ๆ ได้มากกว่าพี่ชายคนโต

          สิ่งนี้ทำให้เห็นถึงเรื่องค่านิยมของ (ว่าที่) พ่อแม่เมืองลุงแซมที่มีต่อเพศของลูก คาดไม่ถึงเหมือนกันนะคะว่าจะนิยมการมีลูกชายเหมือนกัน แล้ว ส่วนตัวของคุณล่ะคะ ถ้ามีลูกคนแรกขึ้นมาอยากได้ลูกสาวหรือลูกชายกันเอ่ย หรือว่าจะเป็นเพศไหนก็ไม่สำคัญ เพราะยังไงก็เป็นลูกรักของคุณพ่อคุณแม่อยู่ดี หน้าตาจิ้มลิ้มหยิบจากพ่อยืมจากแม่มาคนละนิดแบบนี้ ดูยังไงก็น่ารักที่สุดเลย

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก จาก kapook.com

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2557

4 สารพิษในบ้าน อันตรายใกล้ตัว (สุดๆ)


ไม่เฉพาะอันตรายจากสารพิษ สารเคมี และสารปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม (นอกบ้าน) เท่านั้น แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ในบ้านอันแสนอบอุ่นของคุณนั่นแหละ ที่มีภัยเงียบจากสารเคมีนานาชนิดตกค้างอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ต่างๆ ในบ้าน ฝุ่นละออง ฯลฯ

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ เพราะองค์การอนามัยโลก ถึงขนาดได้ออกมาประเมินว่า ในประเทศด้อยพัฒนา มลพิษจากอากาศภายในอาคารและบ้านเรือนริมถนน เป็นต้นเหตุสำคัญของโรคทางเดินหายใจ โรคปอด และโรคมะเร็ง ที่ทำให้คนตายรวมกันไม่น้อยกว่าปีละ 2 ล้านคนเลยทีเดียว (เสียวฝุดๆ)

มีอะไรบ้างล่ะที่เสี่ยง

1) ฟอร์มัลดีไฮด์ นอกจากสารพิษชนิดที่ดมแล้วได้กลิ่น อย่างสารปนเปื้อนคาร์บอนมอนนอกไซด์ที่ระเหยจากการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อ เพลิง กลิ่นใหม่ๆ จากของใช้ในบ้านแล้ว ยังมี "กลิ่นฉุน" ที่แฝงตัวอยู่อย่างเงียบเชียบ นั่นก็คือเจ้าฟอร์มัลดีไฮด์ สารร้ายในบ้านนั่นเอง

เจ้าสารชนิดนี้ เป็นแก๊สไม่มีสี แต่มีกลิ่นฉุน เป็นสารประกอบของฟอร์มาลินที่ใช้ฉีดและดองศพ ถ้ามีสารนี้ เราจะสังเกตง่ายๆ ก็คือ เราจะรู้สึกแสบตา มึนหัว หายใจอึดอัด ภายในบ้านเราจะพบได้ในเฟอร์นิเจอร์ที่มีส่วนประกอบของไม้อัด สารต้านเชื้อราในกาวลาเท็กซ์ที่ใช้ประกอบเครื่องเรือน แล็กเกอร์เคลือบไม้ พรมปูพื้น สีทาบ้าน วอลล์เปเปอร์ ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ผ้าหุ้มเบาะโซฝา และเสื้อผ้าประเภทยับยาก ฟอร์มัลดีไฮด์ ทังหมดนี้ ล้วนเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งคนในบ้านเสี่ยงเมื่อสัมผัส

2) น้ำยาทำความสะอาด น้ำยาทำความสะอาดเครื่องครัวบางชนิดมีโซดาไฟ เป็นส่วนประกอบซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนเนื้อเยื่อ เป็นพิษต่อร่างกาย ต่อมาคือสารเคมีที่ใช้ในการขจัดสิ่งอุดตันในท่อน้ำทิ้งมักเป็นสารอันตรายที่ มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง รวมทั้งยังต้องหลีกเลี่ยงการสูดกลิ่นเหล่านี้ เพราะมีอันตรายรุนแรง นอกจากนี้ ยังมีน้ำยาทำความสะอาดพื้นบ้าน ที่ปัจจุบันนี้ บ้านไหนก็ต้องมี ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นคือสารกลุ่มอัลคิล ฟีนอล อีธอกไซเลต ที่มีรายงานความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสาร NPE หากทาน สูดดม หรือสัมผัสในปริมาณความเข้มข้นสูงจะทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุทางเดิน หายใจ ทางเดินอาหาร ตา และผิวหนังอย่างรุนแรง

3) มันมากับความหอม ใครๆ ก็ชอบใช่มั้ยล่ะความหอม ด้วยเหตุนี้ ในบ้านจึงมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำให้สิ่งต่างๆ หอมดั่งเนรมิต แต่เจ้าความหอมที่ว่า มักมีอันตรายแฝงมาเสมอ เริ่มจากสบู่เหลวกลิ่นต่างๆ ใครจะรู้ว่าภายใต้ความหอมละมุนในช่วงอาบน้ำนั้นจะเต็มไปด้วยสารเคมี สังเคราะห์ที่ใช้ผสมลงไปจนกลายเป็น "สบู่เหลวเทียม" ซึ่งสามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวแพ้ง่าย จนถึงขั้นเสี่ยงต่อมะเร็งในระยะยาว ในบางประเทศเขาห้ามหรือประกาศเตือนกันแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ในบ้านเรายังมีการใช้สาร SLS (Sodium Lauryl Sulfate) และPEG (polyethylene Glycol) กันหรือเปล่า

ต่อไปคือผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นในห้องน้ำ ที่เมื่อสูดกลิ่นเข้าไปแล้วอันตรายอย่างแน่นอน แต่ที่มากกว่านั้นก็คือหากสัมผัสสารเหล่านี้บ่อยครั้งจะทำให้เกิดอาการคัน และระคายเคืองต่อผิวหนัง คลื่นไส้ อาเจียน รวมทั้งยังเป็นสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากน้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาซักแห้ง อโรมาเธอราปี ซึ่งบางคนอาจแพ้ ต้องรู้จักสังเกตและเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์ที่แพ้ก่อนที่จะเกิดการสะสมพิษในระยะ ยาว

เพราะจริงๆ แล้วสารเคมีที่ให้กลิ่นหอมเหล่านั้น เคยมีการทดลองในสหรัฐฯ แล้วพบว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ปล่อยสารระเหยอินทรีย์ออกมามากกว่า 20 ชนิด และ 7 ชนิด จาก 20 ชนิดตามกฎหมายถือเป็นสารอันตรายหรือเป็นพิษ ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง กลิ่นระเหยของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ไม่ได้ทำให้อากาศในบ้านหอมขึ้น แต่จะไปกลบกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นอับอื่นๆ ที่เราไม่ชอบ การหลีกเลี่ยงด้วยการเปิดห้องให้อากาศถ่ายเทน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า

4) อันตรายจากเทคโนโลยี โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ ไมโครเวฟ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ นับเป็นเทคโนโลยีที่มีสารอันตรายปะปนอยู่ด้วยเสมอ ได้แก่ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม ฯลฯ สารพิษนานาชนิดเหล่านี้ จะถูกปล่อยออกมาปะปนในอากษส โดยที่วัสดุสังเคราะห์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปล่อยสารเคมีหรือไอระเหยที่เป็น พิษนับร้อยชนิดสู่อากาศ ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตามมา เช่น โรคภูมิแพ้ หอบหืด ระคายเคือง ไซนัส อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ปวดต้นคอ ปวดศีรษะ เป็นต้น
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้จำแนกสารอันตรายที่อยู่ในผลิตภัณฑ์อิล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เอาไว้ เช่น ตะกั่ว เป็นส่วนระกอบในการบัดกรีแผ่นวงจรพิมพ์ หลอดภาพรังสีแคโทด (CRT) เป็นต้น ผลกระทบจะทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ระบบโลหิต โดยเฉพาะเด็กจะมีผลกระทบต่อพัฒนาการสมองเนื่องจากเด็กสามารถดูดซึมตะกั่วได้ มากกว่าผู้ใหญ่ 5 เท่า

แคดเมียม มักพบในแผ่นวงจรพิมพ์ ตัวต้านทาน แบตเตอรี่แบบชาร์จได้ ซึ่งสารเหล่านี้จะสะสมในร่างกาย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อไตและกระดูก ทำลายระบบประสาท ส่งผลต่อพัฒนาการและการมีบุตร ส่วน ปรอท มักพบในตัวตัดความร้อน สวิตซ์ และอุปกรณ์ให้แสงสว่างในจอภาพแบบแบน หากปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำจะสะสมต่อไปในห่วงโซ่อาหาร ส่งผลต่อสมอง ไต และอวัยวะต่างๆ และเป็นพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง

นอกจากนี้ ยังมีอันตรายจากสารพิษอื่นๆ ที่แฝงอยู่ในบ้าน จำเป็นที่เราต้องระมัดระวัง โดยหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติให้มากขึ้น เพราะภัยอันตรายจากสารพิษเหล่านี้ ไม่ได้เกิดเพียงชั่วข้ามคืน ที่สำคัญยังมองไม่เห็น การป้องกันก่อนเกิดจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

 ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพ จาก บ้านปลอดพิษ ชีวิตปลอดภัย โดย ผศ.ดร.พูลสุข ปรัชญานุสรณ์ สำนักพิมพ์มติชน (หน้าพิเศษ Hospital Healthcare)