วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

เข็มขัดแฟชั่นเกาหลี

เข็มขัดแฟชั่นเกาหลี เป็นอีกหนึ่งความอินเทรนด์สุดเก๋ที่ เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) คิดว่าคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชไม่ควรพลาด แบบเข็มขัดแฟชั่นเกาหลี นี้ต้องขอบอกเลยนะค่ะว่าเป็นเครื่องประดับแฟชั่นอีกหนึ่งอย่างที่กำลังได้ รับความนิยมเป็นอย่างมากก็เทรนด์เข็มขัดแฟชั่นเกาหลีกำลัง มาแรงแบบว่าฉุดไม่อยู่จริงๆ เลยค่ะ วันนี้จึงของแนะนำ แบบเข็มขัดแฟชั่นเกาหลี นี้ที่คุณสาวๆ สามารถนำมามิกซ์แอนด์แมทเข้ากับเสื้อผ้าได้ทุกแบบทุกสไตล์เลยนะค่ะ และที่สำคัญไปกว่านั้น เข็มขัดแฟชั่นเกาหลี เส้นนี้ยังโดนเด่นไปด้วยดีไซต์สุดอินเทรนด์ที่ไม่เหมือนใครและแถม เข็มขัดแฟชั่นเกาหลี นี้ยังเป็นความอินเทรนด์ในสไตล์เกาหลีที่ เชื่อว่าคุณสาวๆ อย่างคุณจะไม่กล้าพลาดอย่างแน่นอนค่ะ

รูปภาพ เข็มขัดแฟชั่นเกาหลี





เป็นยังงัยกันบ้างค่ะสำหรับเข็มขัดแฟชั่นเกาหลีที่นำมาอัพเดทกันในวันนี้เก๋สมกับทีบอกไหมหล่ะค่ะ คุณสาวๆ คนไหนที่กำลังมองหาเข็มขัดแฟชั่นเกาหลีแบบเก๋ไม่เหมือนใครสักเส้นวันนี้ มีเข็มขัดแฟชั่นเกาหลีมาแนะนำกันแล้วนะค่ะ แล้วในครั้งต่อไปต้องรอมาอัพเดทกันด้วยนะค่ะว่าเราจะนำเอาเข็มขัดแฟชั่นเกาหลีความ อินเทรนด์สไตล์ไหนมาอัพเดทให้คุณสาวๆ ได้รู้กันอีก ทุกเทรนด์แฟชั่นที่อินเทรนด์ ทุกความชิคที่คุณสาวๆ อยากรู้เราก็ได้รวบรวมไว้ให้คุณสาวๆ ที่นี่แล้ว รับรองว่าทุกความชิคของคุณสาวๆ จะหาได้ที่นี่อย่างแน่นอนค่ะและเราจะไม่ทำให้คุณสวๆ ต้องเอ้าท์เทรนด์อย่างเด็ดขาด


ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ แฟชั่น จาก  n3k.in.th
ขอขอบคุณรูปภาพเครื่องประดับแฟชั่น จาก qng

ผู้หญิงจะแต่งตัวอย่างไร...ถ้าอกใหญ่

ผู้หญิง ๆ หลายคนอาจกังวลกับขนาดของหน้าอกที่ไม่เป็นดั่งใจ หรือขนาดที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวหลังจากกลายเป็น คุณแม่มือใหม่ คุณอาจจะลองแต่งตัวด้วยวิธีง่ายๆ ที่ไม่ทำให้ดูเชยหรือสูงวัยเกินไป 


  1. สิ่งแรกอย่าปกปิดหน้าอกด้วยเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ แต่ลองเพิ่มความบาลานซ์ด้วยเสื้อที่มีการจับแดปหรือแต่งวอลุ่ม
  2. ใส่ท่อนบนสีเข้มแล้วแมตช์ด้วยกางเกงสีอ่อน จะทำให้ช่วงสะโพกขนาดดูสมดุลกับหน้าอกมากขึ้น
  3. อย่าใส่เข็มขัดเส้นใหญ่ เพราะจะทำให้ลดขนาดช่วงตัวท่อนบน และเน้นส่วนหน้าอกให้เด่นชัดขึ้น
  4. หลีกเลี่ยงเสื้อคอเต่า และหันมาใส่เสื้อคอ V หรือเสื้อที่มีความเว้าช่วงคอ
  5. สุดท้าย หาเครื่องประดับสักชิ้นที่มีดีไซน์เก๋หรือขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดความสนใจไปที่เครื่องประดับแทนหน้าอก

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ แฟชั่น จาก  ลิซ่ากูรู

ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ

วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีอีกหนึ่งความชิคมาฝากคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชทั้งหลายกันกับชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ สำหรับ แบบชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ นี้เป็นสไตล์ที่ดูน่ารักๆ ดีไซต์ของ แบบชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ เป็นดีไซต์ที่ไม่เหมือนใคร มองดูแล้วน่ารักๆ ใสๆ เนื้อผ้าของ ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ ก็จะเป็นผ้านิ่มๆ ใส่ง่ายๆ เหมาะกับอากาศน่าร้อนของบ้านเราเป็นที่สู๊ด...สุด เอาเป็นว่าคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชวัยชิคคนไหนที่ชอบใน สไตล์ของ ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ ที่นำมาฝากนี้ ก็คงต้องรีบๆ ไปหาซื้อมาไว้ใส่กันได้เลยนะค่ะ รับรองได้เลยว่าคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชจะกลายเป็นสาวฮอต สุดอินเทรนด์อย่างแน่นอนค่ะ อ้อ... ต้องขอย้ำอีกรอบนะค่ะว่า ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ นี้เป็นอีกหนึ่งเทรนด์แฟชั่นที่มาแรงมากๆ ในตอนนี้ เห็นรึยังหล่ะค่ะว่า ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ นี้คุณผู้หญิงไม่ควรพลาดจริงๆ 

รูปภาพ ชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ





 

วะ วะ ว้าววววววว เป็นอีกหนึ่งความอินเทรนด์ที่คุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชไม่ ควรมองข้ามจริงๆ สำหรับชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ ชุดนี้ ที่นำมาฝากค่ะ หวังว่าชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ คงจะเป็นอีกหนึ่งแฟชั่นเสื้อผ้าที่คุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอ ชกำลังตามหาอยู่นะค่ะ แล้วคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชสุดชิคทั้งหลายก็อย่าเพลินกับชุดแซกวัยรุ่นน่ารักๆ จนลืมรออัพเดทความอินเทรนด์ นำมาฝากค่ะในครั้งหน้านะค่ะ ว่าความชิคในสไตล์ที่นำมาอัพเดทกันอีกจะใช่ในแบบที่คุณผู้หญิงชอบ กันหรือเปล่านะคะ 

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ แฟชั่น จาก  n3k.in.th 
 ขอขอบคุณรูปภาพเสื้อผ้าแฟชั่น จาก qng

ทรงผมมัดข้างน่ารัก

มาแล้วจร้ามาแล้วมาเสิร์ฟความอินเทรนด์สุดเอ็กซ์คลูซิพกันแล้วจร้า วันนี้เราจะมานำเสนอความน่ารักแบบสุดๆ ฉุดไม่อยู่กันเลยกับ ทรงผมมัดข้างน่ารัก หนึ่งแฟชั่นยอดนิยมที่กลุ่มวัยรุ่นวัยใสส่วนใหญ่กำลังฮิต ก็แค่มันตรงด้านข้างแล้วทำตรงปลายให้เป็นลอนแบบเบาๆ อาจจะประดับด้วยที่คาดผมอันเล็กๆ เก๋ๆ สักอัน ก็ดูดีเว่อร์ๆ แล้วค่ะ เท่านี้เองค่ะง่ายแสนง่าย และก็ยังเป็นเทรนด์แฟชั่นสไตล์เกาหลีที่อยากย้ำชัดๆ ว่าสาวๆ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง อะๆ แต่นอกจากสาวๆ วันทีนวัยใสแล้วสาวกเกาหลีเตรียมกรี๊ดด....ให้สุดเสียงเพราะจะบอกว่า ทรงผมมัดข้างน่ารัก นี้ก็เป็นทรงผมยอดฮิตของสาวๆ ดาราเกาหลีเช่นกันจร้า เป็นทรงผมอินเทรนด์แฟชั่นที่ไม่ต้องอะไรมากมาย แต่เน้นความอินเทรด์แบบน่ารักสดใสก็พอ เหมาะสำหรับสาวๆ วัยทีนอย่างเราๆ อิอิ เป็นอย่างมากเลยนะเจ้าค่ะ





โอ้ยๆๆ น่ารักอะบ่องตงกับแบบทรงผมมัดข้างน่ารักเป็นทรงผมที่น่ารักมากๆ ตอนนี้สาวๆ วัยใสสาวกเกาหลีคงกำลังนั่งม้วนๆ มัดๆ จัดผมของคุณให้เป็นแบบทรงผมมัดข้างน่ารักทรงนี้กันอยู่ใช่ไหมหล่ะถูกใจหล่ะ เซ่ ถ้าถูกใจก็จัดไปค่ะเป็นสาวเกาหลีกันสักวันจะเป็นอะไรไป วันนี้น่ารักไป 1 วัน แต่ครั้งหน้าเราจะมาเปลี่ยนลุคเปลี่ยนสไตล์ใหม่พร้อมๆ กันอีกนะค่ะ แต่ครั้งนี้ยอมแพ้ความแรงของเทรนด์แฟชั่นแบบทรงผมมัดข้างน่ารักสไตล์เกาหลี นี้ไปก่อนครั้งหน้าแฟชั่นไหนจะมาล้มตำแหน่งความอินเทรนด์ของแบบทรงผมมัดข้าง น่ารักทรงนี้ต้องรอติดตามค่ะ

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ แฟชั่น จาก  n3k.in.th

ขอขอบคุณรูปภาพทรงผมจากอินเตอร์เน็ต
ทรงผมเกาหลี , ทรงผมดัด , ทรงผมยาว, เกล้าผม

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

น้ำมันมะพร้าวไม่ได้ลดความอ้วน

น้ำมันมะพร้าวก็เริ่มเป็นที่ฮือฮาในหลายแง่มุมขึ้นมา โดยเฉพาะในเรื่องการรับประทานน้ำมันมะพร้าวเพื่อลดความอ้วน ต้องขอแก้ข่าวนี้ก่อนว่าไม่จริง เพราะหลักการลดความอ้วนคือต้องลดอาหารลดไขมัน กินผักให้มากๆ และออกกำลังกาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่กินน้ำมันเสียเลย เพราะเรายังต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่

ก็มีข้อเสนอว่าถ้าเราต้องกินน้ำมันก็ให้กินน้ำมันมะพร้าว เพราะเป็นน้ำมันที่ให้พลังงานสูง และเป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลย จึงไม่เสี่ยงต่อการสะสมในร่างกายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของความอ้วนนั่นเอง แต่ก็ต้องกินแบบพอดีด้วย ซึ่งวิธีการใช้อย่างเหมาะสมนี้ก็ถือเป็นการช่วยลดความอ้วนทางอ้อมนั่นเอง หมอ ขอแนะนำอย่างนี้ดีกว่า ไม่ใช่ไปกินน้ำมันมะพร้าวเพื่อลดความอ้วน เพราะโดยหลักการนั้นน้ำมันทุกชนิดย่อมทำให้อ้วนอยู่แล้ว น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมากถึง 86% สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้นานโดยไม่เหม็นหืน แต่จะจับตัวแข็งเป็นก้อนเมื่อถูกความเย็น และถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นจะสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 6 เดือน เป็นน้ำมันที่ไม่มีควันเมื่อถูกความร้อนสูงจัด จึงเหมาะที่จะนำไปทอดอาหารประเภทน้ำมันท่วมชนิดเดือดจัดๆ อย่างไก่ทอด ปาท่องโก๋ กล้วยแขก เป็นต้น ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะเกิดสารอนุมูลอิสระน้อย ผู้บริโภคจึงไม่ต้องเสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากนัก แต่เนื่องจากปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวสูง จึงอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจหรือหลอดเลือดอุดตันได้เช่นกัน การสกัดน้ำมันมะพร้าวถือเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทยมาช้านาน

โดยเฉพาะการสกัดด้วยการเคี่ยวจนได้น้ำมัน เรียกว่า สกัดร้อน แต่น้ำมันจะไปผ่านความร้อนทำให้คุณภาพลดลงบ้าง แต่ก็สามารถนำไปใช้ทาตัวได้ ส่วนวิธีการสกัดอีกแบบคือ การหมัก หรือ สกัดเย็น จนได้น้ำมันใสบริสุทธิ์นั้นเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง เพราะจะได้น้ำมันมะพร้าวที่ใสบริสุทธิ์น่าใช้ โดยเฉพาะการนำไปใช้เป็นเบสออยในสปา วิธีการทำน้ำมันมะพร้าวแบบภูมิปัญญาชาวบ้านโดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีนี้ เหมาะสำหรับการทำแล้วใช้เพียง 7 วัน หรือหนึ่งเดือนแล้วใช้ให้หมด เรียกว่าน้ำมันยังไม่ได้ทันเหม็นหืนเราก็คั้นเตรียมทำใหม่แล้ว สำหรับที่มูลนิธิการแพทย์แผนไทย ในส่วนของศูนย์พัฒนาวัตถุดิบและร้านวาสุเทพ เราก็ได้นำน้ำมันมะพร้าวจากชาวบ้านมาวางจำหน่าย ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่น้อย มีเพื่อนบ้านของไทยอย่างประเทศฟิลิปปินส์เวลานี้ส่งออกน้ำมันมะพร้าวแบบออร์ แกนิกไปขายยังอเมริกา สร้างรายได้เข้าประเทศชนิดยอดไม่ตกเลย อย่างไรก็ตาม ในโลกของการแข่งขันทางธุรกิจแล้ว การผลิตน้ำมันมะพร้าวในระดับภูมิปัญญาชาวบ้าน อาจไม่สามารถแข่งขันกับตลาดได้มากนัก เพราะถ้าระยะเวลาการเก็บได้เพียงไม่เกิน 6 เดือนนั้น อาจทำให้อายุสินค้าสั้นลง

ฉะนั้นในระดับธุรกิจแล้วเราอาจจะต้องคำนึงถึงเรื่องการกำจัดความเหม็นหืน ด้วย ผู้ผลิตต้องคำนึงถึงจุดนี้ซึ่งคงต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นนั่นเอง ในเวลานี้มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนาก็ได้ร่วมกับภาคเอกชน หันมาทำน้ำมันมะพร้าวแบบไม่เหม็นหืน ซึ่งวางแผนไว้ว่าอาจจะจัดตั้งโรงงานขึ้นที่จังหวัดราชบุรีเป็นโครงการนำร่อง เพราะแถบนั้นมีมะพร้าวเยอะ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่จัดทำขึ้นนี้เราจะใช้ชื่อว่า "สึนามิ ครีม" อีกไม่นานทางมูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนาก็จะมีผลิตภัณฑ์ตัวนี้ออกมาจำหน่าย ซึ่งราคาก็คงแพง กว่าแบบที่ผลิตโดยชาวบ้านสักหน่อย ส่วนการจัดตั้งโรงงานผลิตที่ภาคใต้นั้น ขณะนี้หมอก็กำลังศึกษาลู่ทางอยู่ว่าจะทำอย่างไร เพื่อช่วยให้ผู้ประสบภัยสึนามิมีอาชีพและรายได้อย่างจริงจังเป็นรูปธรรมต่อ ไป ในเวลานี้นิยมนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้ในวงการสปาอย่างกว้างขวางมาก และเริ่มมีการรื้อฟื้นถึงวิธีการใช้ประโยชน์จากน้ำมันมะพร้าว อย่างที่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เราเคยใช้ เช่น ใช้หมักผม ซึ่งช่วยให้ผมดกดำและไม่หงอก ใช้ทารักษาบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือใช้ทาผิวหน้าก่อนนอนเพื่อบำรุงผิวพรรณ ทาตามข้อศอกและหัวเข่าเพื่อลดความหยาบกร้านของผิวหนัง ซึ่งสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวได้เลย แต่อีกวิธีหนึ่งคือการนำไปเข้าตำรับยา เช่น  

1.เอาเหล้าโรง 1 ส่วน น้ำมันมะพร้าว 1 ส่วน น้ำปูนใส 1 ส่วน อย่างละเท่ากัน นำไปกวนให้เข้ากันดีจนมีลักษณะคล้ายน้ำมันข้น ใช้สำลีจุ่มยาทาบริเวณที่ถูกไฟลวก ช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อน และเป็นยารักษาแผลเป็นได้อีกด้วย 2.เอายางตะเคียนกับน้ำมันมะพร้าวอย่างละเท่ากัน ใส่กระทะตั้งไฟเคี่ยวให้ละลาย ใช้สำลีชุบทาบริเวณแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก จะช่วยให้แผลหายและไม่เป็นแผลเป็น  

อันนี้เป็นหนึ่งในหลายภูมิปัญญาของคนไทยเรา ซึ่งการนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้ไม่ใช่เฉพาะแค่การรับประทานเท่านั้น แต่ยังใช้เพื่อความงามและ ใช้ในการรักษาโรคได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หมอขอย้ำว่าน้ำมันมะพร้าวไม่สามารถลดความอ้วนได้โดยตรง กระบวนการที่เกิดขึ้นนั้นมันช่วยได้ทางอ้อม ซึ่งต้องกินในปริมาณที่น้อยและร่างกายสามารถนำไปใช้ได้หมดด้วย สรุปที่หมออยากบอกก็คือ ในกรณีที่เราต้องกินน้ำมันอยู่แล้วก็ลองหันมากินน้ำมันมะพร้าวแทนนั่นเอง 

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับการลดความอ้วน จาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 

ผ่าตัดกระเพาะ ลดความอ้วน

โดย สุชาฏา ประพันธ์วงศ์ จากสถิติคนไทยเป็น "โรคอ้วน" เฉลี่ยแล้ว 6% ของจำนวนประชากร ถือเป็นอุบัติการณ์ที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และยังพบว่าเด็กอ้วนเมื่อโตขึ้นก็มีโอกาสเป็นโรคอ้วนได้มากเช่นกัน ทางการแพทย์ได้ระบุไว้ว่า "ความอ้วน" ถือเป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา ซึ่งในความหมายทางการแพทย์ แล้ว "โรคอ้วน" คือผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 40 กิโลกรัม แต่ใช่ว่าทุกคนที่มีน้ำหนักตัวมากจะเป็นโรคอ้วน คนอ้วนสามารถแบ่งได้หลายระดับ คือ อ้วนปกติ อ้วนน้ำหนักเกิน คนอ้วน คนเป็นโรคอ้วน และซุปเปอร์โรคอ้วน สุดท้ายซุปเปอร์โรคอ้วน 


แต่มาวันนี้มีวิธีการลดความอ้วนที่น่าอัศจรรย์อย่างคาดไม่ถึง นั่นคือ การลดความอ้วนด้วยการผ่าตัดกระเพาะอาหารในร่างกาย เรื่องจริงเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว โดยมี ธนัท รัตนพันธ์ ชายหนุ่มวัย 29 ปี ที่เคยมีน้ำหนักตัวสูงถึง 165 กิโลกรัม ส่วนสูง 174 เซนติเมตร ผ่านการลดความอ้วนมาแล้วสารพัดวิธี จนสุดท้ายมาถึงการผ่าตัดกระเพาะ เล่าถึงความอึดอัดที่ต้องทนทุกข์ทรมานแบกรับน้ำหนักตัวที่เกินกว่าจะรับไหว เพียงเพราะความอยาก และการตามใจปากมากเกินไป ธนัทเล่าว่า เพราะเป็นหลานคนเดียวในบ้าน ทุกคนจึงตามใจและเลี้ยงดูอย่างดีมาก อยากกินอะไรก็ได้กิน กินไก่แต่ละครั้งเป็นตัวๆ เนื้อย่างติดมันครั้งละ 5 จาน ทุเรียนก็กินทีละเป็นลูกๆ ชอบกินอาหารพวกไขมัน โปรตีน และขนมหวาน หนึ่งวันของคนอื่นกินอาหาร 3 มื้อ แต่สำหรับเขากินได้วันละถึง 4-5 มื้อ แต่ละมื้อไม่ใช่น้อยๆ  

"ตอนเด็กๆ ยังไม่อ้วนมาก มาอ้วนเอาตอนเรียนชั้น ป.6 น้ำหนักขึ้นมาอยู่ที่ 100 กิโลกรัมพอดี แต่โชคดีที่ช่วงนั้นเล่นเทนนิสออกกำลังกาย และวิ่งขึ้นดอยสุเทพ ทำให้พอขึ้นชั้นมัธยม 2 น้ำหนักลดลงมาอยู่ที่ 65 กิโลกรัม แต่ก็ยังกินเยอะอยู่เหมือนเดิม พอต่อมาไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ไม่ได้เล่นกีฬาสักเท่าไหร่ แต่การกินเท่าเดิม จึงทำให้กลับมาอ้วนอีกครั้ง คราวนี้น้ำหนักขึ้นแล้วไม่ยอมลงง่ายๆ" เสียงบอกเล่าของธนัทยังดังต่อไปว่า มาอ้วนเอาจริงเอาจังตอนช่วงอายุ 17-26 ปี เป็นช่วงที่ใช้ร่างกายหนักมาก จึงทำให้กินมากด้วย ในช่วงเวลา 7 ปี น้ำหนักตัวของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว เสื้อผ้าต้องเปลี่ยนตลอด เพราะร่างกายขยายขึ้นเรื่อยๆ "คือตอนนั้นไปเปิดผับกับเพื่อนๆ ร่วมหุ้นกัน ขณะเดียวกันก็ทำงานประจำด้วย ทำให้วงจรชีวิตมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก แต่กลับกินอาหารเยอะมาก มื้อเช้า กลางวัน เย็น แล้วยังกินอีกสองมื้อตอน 2 ทุ่ม กับตอนตี 3 กินวนเวียนอยู่แบบนี้ ก็พยายามจะลดน้ำหนักเหมือนกัน แต่แค่เดินยังลำบากเลย ฝ่าเท้าแตกเพราะต้องรับน้ำหนักตัวมาก เวลาเดินจะเจ็บมาก และปวดหลังอีกด้วย" แค่นั้นยังไม่พอสำหรับเขา ผลของความอ้วนทำให้เขาต้องเป็นโรคที่ภาษาหมอเรียกว่า "สลีป แอ็บเนีย ซินโดรม" (Sleep Apnea Sindrom) คือ เป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบหายใจติดขัดขณะนอนหลับ และมีเสียงกรนดังมาก  

"ต้องสะดุ้งตื่นในตอนกลางคืนวันละ 7 ครั้ง ระยะหลังเลยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ โรคนี้ขณะที่นอนทรมานมากเพราะหายใจไม่ทัน เป็นอยู่ 1 ปีเต็ม แม้ตอนขับรถก็หลับ ฝันได้เลย ถึงขั้นต้องจอดรถนอนแบบนี้ก็มีนะ คือ นั่งคุยอยู่ดีๆ ก็หลับไปซะงั้น" เมื่อร่างกายของเขาต้องทรมานขนาดนี้ หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาคับอกคับใจของเขาได้ คือการไปพบแพทย์ "รู้สึกว่ามันไม่ปกติเลยตัดสินใจไปปรึกษาแพทย์เพื่อ รักษา แต่ก่อนหน้าจะไปพบแพทย์ ได้ใช้วิธีอื่น พยายามกินยาลดความอ้วน แต่ไม่สำเร็จ เพราะว่าน้ำหนักก็เพิ่มอีกและรู้สึกเครียด มือสั่น ใจสั่น หมอแนะนำว่าให้ผ่าตัดกระบังลม ซึ่งจะช่วยให้หายใจคล่องขึ้น 70% แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจทำ" "กระทั่งตกลงใจไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งเป็นหมอรักษาโรคอ้วนโดยเฉพาะ หมอแนะนำให้ใช้วิธีการควบคุมอาหารก่อน กลับมาบ้านมาทำตามคำแนะนำหมอ แต่น้ำหนักก็ไม่ยอมลด ในที่สุดหมอเขาส่งตัวไปที่แผนกศัลยกรรม บอกว่าต้องใช้วิธีผ่าตัดกระเพาะ ใช้ยางรัดกระเพาะไว้เพื่อทำให้เรากินได้น้อยลง"

ทันทีที่หมออธิบายถึงวิธีการรักษา เขาไม่ลังเลอะไรทั้งสิ้น ตัดสินใจผ่าตัดทันที ยังไม่ทันจะปรึกษาใครด้วยซ้ำ รู้เพียงแต่ว่าจะต้องผอมให้ได้และไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่าความอ้วนอีกแล้ว จากนั้น ธนัท ก็เข้ารับการผ่าตัดภายใต้การดูแลของหมอจากโรงพยาบาลรามาธิบดี เขาเล่าว่า การผ่าตัดกระเพาะอาหารมีหลายวิธีด้วยกัน แต่วิธีที่เขาเลือกใช้ คือ "เครื่องล็อคกระเพาะ" ทำให้กระเพาะเล็กลง เพื่อกินได้น้อยลง เครื่องมือที่ว่านี้สามารถยืดหยุ่นได้ตามความต้องการ หากต้องการกินน้อยก็จะมีน้ำยาฉีดเข้าไปทำให้ยางบีบแน่นขึ้นและคลายลงตามแต่ คนไข้และแพทย์ตกลงกัน "หลังจากผ่าตัดใส่เครื่องล็อคกระเพาะ เดือนแรกน้ำหนักลดได้ถึง 17 กิโลกรัม อาการของโรคสลีป แอ็บเนีย ซินโดรม ก็หายไป น้ำหนักลดลงมาได้ เหมือนเกิดใหม่ สบายตัวขึ้นมากต้องถือว่าประสบความสำเร็จนับจากวันที่ผ่าตัดมาจนถึงวันนี้ สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 61 กิโลกรัม" ในทางทฤษฎีของหมอ การใช้เครื่องล็อคกระเพาะจะได้ผลดีกับคนที่ควบคุมตัวเองได้ และคนที่หิวบ่อยๆ "เดือนแรกกินอะไรไม่ได้ หมอให้กินแต่น้ำซุปเพราะว่ากระเพาะยังไม่เข้าที่ ห้ามกินอาหารแข็งๆ อยากกินหมูก็เคี้ยวให้รู้สึกถึงรสชาติเท่านั้นแล้วให้คายออก ผมแอบกลืนลงคอเหมือนกัน แต่แล้วก็อาเจียนออกมา" ธนัทว่ามาถึงตอนนี้อยู่ที่ตัวเองจะควบคุมเองแล้ว  

"ถ้าเราออกกำลังกายเราก็จะลดได้อีก ถ้าผมไม่กินพวกนม พวกน้ำหวาน ก็ลดได้ยิ่งกว่านี้อีก เพราะตัวนี้จะควบคุมได้เฉพาะพวกของแข็ง ถ้าเป็นของเหลวจะไหลผ่านลงกระเพาะไปเลย ถ้ากินมากอาหารก็จะล้นกระเพาะ ทำให้บางทีต้องไปอาเจียน" ถามว่ามีความสุขกับการทำแบบนี้ไหม? "มีความสุขมาก เหมือนเกิดใหม่ เพราะเรายังมีความสุขกับการกินได้เหมือนเดิมอยากกินอะไรก็กิน แต่จะกินในปริมาณที่น้อยลงถึง 1 ใน 4 ส่วน ขณะนี้น้ำหนักตัวผมอยู่ที่ 103 กิโลกรัม รอบเอวเหลือ 40 นิ้ว ลดจากเดิม 54 นิ้ว ตั้งใจว่าจะลดลงเรื่อยๆ ให้เหลือน้ำหนัก 70 กิโลกรัม และคงต้องออกกำลังกายช่วยด้วย" การที่มีเครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในกระเพาะ ธนัทบอกว่าไม่รู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในท้องเลย ไม่มีอะไรน่ากลัว "ผมว่าการที่เราเป็นโรคอ้วนแบบที่เป็นก่อนหน้านี้มัน น่ากลัวกว่ามาก แต่การผ่าตัดกระเพาะค่าใช้จ่ายอาจจะสูงเกือบ 2 แสนบาท อาการหลังผ่าตัดมีเจ็บแผลที่ท้อง แต่ก็เจ็บแค่ 3 วันแรก พอหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปก็ไม่เป็นอะไรแล้ว เดินสบายเหมือนเดิม "บางคนบอกไม่กล้าทำเพราะกลัวเป็นแผลเป็นที่ท้อง แต่ผมบอกได้เลยว่ามีแผลเป็นที่ท้องกับการเป็นโรคอ้วน ผมยอมมีแผลเป็นดีกว่ามีไขมันสะสม" กล่าวพร้อมกับหัวเราะ  

ด้าน นายแพทย์ธีรพล อังกูลภักดีกุล แพทย์ศัลยกรรมโรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะกรรมการโรคอ้วน โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ทำการรักษาโรคอ้วน อธิบายถึงเรื่องผ่าตัดกระเพาะลดอ้วน ว่า มีการวิจัยพบว่า "โรคอ้วน" เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เพียงแต่ว่ายังไม่แพร่หลายในคนไทย "ทางหมอเองยังไม่กล้าให้ความรู้ ไม่กล้าไปพูดมากกลัวจะเป็นการชวนเชื่อ ซึ่งตามทางการแพทย์แล้ว การผ่าตัดกระเพาะเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคอ้วน คนอ้วนก็ใช่ว่าจะเป็นโรคอ้วนไปเสียทุกราย บางคนอ้วน แต่ไม่เป็นโรคอ้วนก็มี" คุณหมอธีรพลบอกว่า คนที่เป็นโรคอ้วน ชีวิตขัยจะสั้น เพราะมีโรคแทรกซ้อน ทั้งโรคความดัน โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และมีโอกาสเป็นโรคหัวใจสูงกว่าคนปกติ ส่วนโรค "สลีป แอ็บเนีย ซินโดรม" เป็นอาการ "หยุดการหายใจขณะหลับ" เกิดขึ้นจากบริเวณทางเดินหายใจเล็กกว่าปกติ เวลาที่คนไข้หลับลึกหรือหลับสนิทจะมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ สังเกตได้ง่ายๆ จากการนอนกรน และนอนหลับๆ ตื่นๆ คนไข้ที่เป็นโรคอ้วนส่วนใหญ่จะเป็นโรคนี้

คุณหมอยังบอกว่า อาการเหล่านี้ทำให้คนที่เป็นโรคอ้วนบางคนมีปัญหาทางด้านจิตเวชด้วย เนื่องจากเข้าสังคมไม่ได้ ความมั่นใจในตัวเองลดลง บางคนซึมเศร้าส่งผลทำให้กินมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ยังหาสาเหตุการอ้วนที่แท้จริงยังไม่พบ แต่เชื่อว่าประมาณ 1 ใน 3 เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่กรรมพันธุ์ไม่ใช่สาเหตุหลัก "มีผลงานวิจัยว่า อาหาร สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ค่านิยม ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนในระดับที่แตกต่างกัน เช่น ประเทศอินเดีย มีคนอ้วนมาก เนื่องมาจากชนิดของอาหารที่รับประทาน แต่ปัจจุบันนี้ดีขึ้น"

คุณหมอบอก สำหรับประเทศที่มีคนเป็นโรคอ้วนมากที่สุดในโลก คือ ชาวอเมริกัน มีมากกว่าชาวยุโรป เพราะคนอเมริกันเป็นพวกบริโภคนิยม ซึ่งมีตัวเลขผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนสูงถึง 15-20% และยังพบผู้ป่วยที่เข้าข่ายอ้วนอาจจะเกินหนึ่งใน 3 ของประชากร นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาวิจัยพบว่า แนวโน้มเด็กอ้วนที่ตอนเล็กตัวใหญ่มาก พอโตขึ้นมีโอกาสเป็นโรคอ้วนได้มากกว่าคนที่ไม่อ้วนตั้งแต่เด็ก "การผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วนทางตะวันตกทำกันมานานแล้วประมาณ 50-60 ปี แต่ทางเอเชียไม่ได้ทำกันแพร่หลาย ส่วนการอดอาหารลดอ้วน เปลี่ยนพฤติกรรมบริโภค หรือการกินยา ไม่ใช่วิธีการรักษาโรคอ้วน แต่อาจจะได้ผลกับคนที่อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน ต้องเข้าใจว่าภาวะการรักษาโรคอ้วนกับภาวะคนที่น้ำหนักเกินมันคนละเรื่อง"  
คุณหมอย้ำว่า การลดความอ้วนตามศูนย์ลดน้ำหนักอาจจะเหมาะสำหรับคนที่น้ำหนักเกิน แต่ไม่ใช่คนที่เป็นโรคอ้วน และว่า การผ่าตัดกระเพาะเป็นการรักษาคนไข้ ไม่ใช่ผ่าตัดเพื่อความสวยความงาม การผ่าตัดกระเพาะไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ แพทย์ที่จะทำการผ่าตัดต้องมีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์พอสมควร เนื่องจากเป็นการผ่าตัดผ่านกล้องที่ลึก ก่อนการผ่าตัดหมอต้องตรวจสอบก่อนว่าผู้ที่มาให้หมอผ่าตัดเป็นโรคอ้วนหรือไม่ บางคนอาจจะเป็นแค่ภาวะน้ำหนักเกิน ก็อาจให้คำแนะนำเรื่องโภชนาการ ให้ควบคุมอาหาร หรือแม้แต่คนที่เป็นโรคอ้วนก็ต้องลองวิธีอื่นก่อน ถ้าไม่ได้ผลจึงจะทำการผ่าตัด ต้องเข้าใจว่าไม่ได้ผ่าตัดในคนอ้วน แต่จะผ่าตัดในคนที่เป็นโรคอ้วน  

ปัจจุบันการผ่าตัดมีการพัฒนาขึ้น คนไข้ไม่ต้องถูกผ่าท้อง เพียงแต่ว่าใช้การเจาะท้อง 4-6 รูเพื่อเอาเครื่องมือสอดเข้าไปทำการผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งวิธีนี้คนไข้จะฟื้นตัวเร็ว ได้ผลกว่าการผ่าตัดแบบเปิด "เรื่องของอันตรายมีแน่นอน เหมือนการผ่าตัดทั่วไป แต่เรายังไม่พบคนไข้ที่มีภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด เรามีเรื่องของการติดเชื้อที่แผลบ้าง 2 ราย จากทั้งหมดที่ผ่าตัด 50 ราย ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร แต่ก็ทำการรักษาเรียบร้อยแล้ว" คุณหมอธีรพลบอกปิดท้ายว่า เท่าที่ทำการผ่าตัดมามีผู้ป่วยที่สามารถลดน้ำหนักได้สูงสุดประมาณ 70 กิโลกรัม จากน้ำหนัก 180 กิโลกรัม ใช้เวลาประมาณ 1 ปี เฉลี่ยแล้วผู้ป่วยที่รับการผ่าตัดไปแล้วสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 40-50 กิโลกรัม

"ตอนนี้ที่โรงพยาบาลรามาฯ ยังมีคนไข้ที่รอผ่าตัดอยู่อีกประมาณ 10 กว่าคน การผ่าตัดกระเพาะจะมีค่าใช้จ่ายสูงประมาณ 1.5 ถึง 2 แสนบาทในโรงพยาบาลรัฐบาล ถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนจะอยู่ที่ 3-5 แสนบาท ถ้าเทียบกับการลดน้ำหนักตามศูนย์ลดความอ้วนแล้ว ไม่ต่างกันนักหมดเงินเป็นแสนเหมือนกัน แต่ที่ต่างคือแทนที่น้ำหนักจะลดลง น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นมาอีก" การผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดอ้วน แม้ว่าในทางการแพทย์ยังไม่ใช่แนวทางของการมีสุขภาพดี แต่สำหรับคนป่วยเป็นโรคอ้วนแล้ว เมื่อได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ก็ยังทำให้พวกเขาสามารถกลับมาทำงาน และอยู่ได้ในสังคมอย่างไม่ถูกมองอย่างแปลกแยกว่ามีปมด้อยอีก

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับการลดความอ้วน จาก มติชนออนไลน์