วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ถุงเท้าแฟชั่น จับคู่ รองเท้า ยังไงให้ดูเริ่ด


ใส่รองเท้าอย่างเดียว อาจทำให้คุณเบื่อ แต่งตัวไม่สนุก ลองเลือกจับคู่กับ ถุงเท้าแฟชั่น สวยๆ สักวัน แล้วคุณอาจจะสนุกกับการแต่งตัวมากขึ้น MAIN IDEA คือการจับคู่สีระหว่าง ชุดเสื้อผ้า + รองเท้า + ถุงเท้า ทำยังไงน่ะเหรอ มาลองดูภาพตามนะคะ



1. เลือกสี ถุงเท้าแฟชั่น ให้ตัดกับสีของรองเท้า



 
2.เลือกลวดลาย ถุงเท้า ให้เด่นๆ ไปเลย



 
3.เลือกสีถุงเท้าให้เข้ากับชุด และ/หรือรองเท้า 




4.ถุงเท้าเรียบๆ แต่ใส่แบบย่นๆ 

หลายๆ คนอาจเลิกใส่ถุงเท้าไปนานแสนนานแล้ว จนจำภาพตัวเองไม่ได้ว่า ใส่ถุงเท้ากับรองเท้าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ไม่เป็นไร เปลี่ยน Comfort Zone ด้านแฟชั่นให้มันเป็นเรื่องที่น่าสนุกซะ ลองหาซื้อ ถุงเท้าแฟชั่น ที่คุณชอบมาซักคู่ แล้วไปแต่งตัวหน้ากระจกดูซักครั้งสิ รับรอง บุคลิกสาวๆ เราจะชิคขึ้นทันตานะเอ้า

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแฟชั่น ถุงเท้าแฟชั่น จับคู่ รองเท้า ยังไงให้ดูเริ่ด

จาก woman mthai team ภาพจาก Pinterest  

10 ไอเดีย มิกซ์แอนแมทช์ ให้ไม่น่าเบื่อ

  

วันนี้จะแต่งตัวแบบไหนดีน้าาา เบื่อๆๆๆๆ เสื้อผ้าก็ใส่จนหมดตู้แล้ว หมดไอเดีย เพลียจะแต่งตัวละ สาวๆหลายคนคงเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้เกือบทุกวันใช่ไหมคะ ฉะนั้นเพื่อคัมแบ็กความสนุกในการ มิกซ์แอนแมทช์  ให้กับสาวๆ วันนี้เราขอนำเอา 10 Ideas Outfit Must Try!  มาฝากสาวๆกันคะ เผื่อวันไหนไม่รู้จะแต่งแนวไหนดี จะได้เอาไว้เป็นไอเดีย มิกซ์แอนแมทช์ ให้เข้ากับบุคลิกของตัวเองได้ค่ะ










 ขอขอบคุณบทความแฟชั่น 10 ไอเดีย มิกซ์แอนแมทช์ ให้ไม่น่าเบื่อ จาก whowhatwear

สาวผมสั้น น่ารัก น่าหยิก ไม่แพ้สาวผมยาวนะจ๊ะ

     เมื่อก่อนถ้าถามว่าผู้หญิงผม สั้นหรือผมยาวแบบไหนจะถูกใจหนุ่มๆ มากกว่ากัน ก็คงตอบว่า ผมยาว แต่ยุคนี้มันไม่ใช่ซะแล้ว เพราะเข้าสู่ยุค สาวโฉบเฉี่ยวคล่องตัว สไตล์ สาวผมสั้น นั้นดูจะน่ารักดึงดูดใจหนุ่มๆ มากกว่าเป็นกอง ก็เพราะ สาวผมสั้น นั้น สามารถปรับลุค เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวได้ทุกสไตล์ และที่สำคัญ ผมสั้นทำให้ดูเด็กลง อีกด้วยนะจ๊ะ

      วันนี้ Women Mthai รวบรวม สาวผมสั้น ที่แสนจะน่ารักน่าชัง มาฝาก เป็นไอเดียเผื่อใครจะอยาก หั่นผมให้เก๋กู๊ดแบบนี้บ้าง ก็เลือกตามสไตล์นะจ๊ะ อ่อ..แนะนำว่า ควรเลือก ผมสั้น ให้เหมาะกับรูปหน้าของตัวเองแล้ว จะยิ่งไฉไลเข้าไปอีกนะจ๊ะ


 







ขอขอบคุณรูปภาพแฟชั่น สาวผมสั้น น่ารัก น่าหยิก ไม่แพ้สาวผมยาวนะจ๊ะ จาก Women Mthai Team

วิธีผูกผ้าพันคอ สุดเก๋ สวยได้ใน 1 นาที

           ไม่ว่าจะไปเที่ยว หรือ ไปออกเดท แค่สาวๆ women mthai เตรียมผ้าพันคอลายน่ารักๆไว้ ก็สวยใสได้ภายใน 1 นาที แล้วค่ะ เริ่มจากพับผ้าพันคอครึ่งนึง แล้วค่อยๆม้วนผันพันคอจนสุด จากนั้นนำผ้ามาไว้ที่ท้ายทอย แล้วดึงไปด้านหน้าประมาณกลางกระหม่อม พันผ้าไขว้กันแล้วนำปลายผ้าไปผูกไว้ด้านหลัง แค่นี้ก็ได้ทรงผมสวยเก๋แล้ว สาวๆที่ผมยาวมากๆ ขอแนะนำว่าควรรวบผมก่อนจะช่วยทำให้ผูกผ้าง่ายขึ้นนะคะ 


ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแฟชั่น วิธีผูกผ้าพันคอ สุดเก๋ สวยได้ใน 1 นาที 
จาก woman mthai team   
ภาพประกอบจาก Lovethispic.com

แฟชั่น นิทานเจ้าหญิงรองเท้าแก้ว ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันต์

แฟชั่น นิทานเจ้าหญิงรองเท้าแก้ว ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันต์ ภาพแฟชั่น จาก นิตยสาร ดิฉัน






ข้อความบนปก : The snow yaya princess ‘มองชีวิต’ 5 วิธี หาคนรักดีๆ…สักคน เงิน เงิน เงิน บริหารเงินแบบคู่รัก GEN-X ‘หัวใจคุยกัน’ รักจริงน่ะมี แต่บางทีไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา เปิดใจ’หรั่ง’ช่างผม พรเทพ หวั่นปาเต๊ะ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

ขอขอบคุณรูปภาพแฟชั่น นิทานเจ้าหญิงรองเท้าแก้ว ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันต์ จาก magazinedee

มัดผมแบบไหนให้สวยน่ารักโดนใจคุณ

มัดผม แบบไหนให้สวยน่ารักโดนใจคุณ


หลากไอเดีย หลายสไตล์

         ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ อาจทำให้ผมสลวยของคุณสาวๆ women mthai ยุ่งเหยิงได้ โดยเฉพาะสาวผมยาวลมแรงๆพัดมา เส้นผมคงพันกันน่าดู ขอนำเสนอไอเดีย มัดผม สวยๆให้คุณลองนำไปทำผมแบบนี้กันดูบ้างนะคะ หรือสาวบางคนอาจจะอยากเปลี่ยนลุคตัวเองเป็นสาวมั่น การ มัดผม จะช่วยทำให้คุณดูกระฉับกระเฉง เป็นสาวปราดเปรียวคล่องตัวมากขึ้นเลยล่ะค่ะ มีทรงไหนกันบ้างมาชมกันเลย…

  

มัดผม ดังโงะ แบบสาวเกาหลี



 

มัดผมหางม้า




มัดผม ทรงสูง




มัดผม เอียงข้างน่ารักๆ



มัดผม หางม้าทรงสูง

มัดผม ครึ่งศีรษะ


ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแฟชั่น มัดผมแบบไหนให้สวยน่ารักโดนใจคุณ จาก  
woman mthai team   

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

5 อาหารชะลอความแก่และริ้วรอย


           หากจะมีอาหารใดที่ช่วยชะลออายุผิวพรรณให้คงความหนุ่มสาวยาวนานแล้วล่ะก็ ดร.นิโคลัส เพอร์ริโคน แพทย์ผิวหนังจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และเจ้าของผลงานหนังสือสุขภาพผิวพรรณขายดีหลายเล่ม แนะนำไว้ว่าต้องเป็นอาหาร 5 ชนิดนี้

    1. มันเทศ สี ส้มของเนื้อมันเทศฟ้องว่าอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยปรับสมดุลกรดด่างของผิวหนัง ป้องกันผิวจากความแห้งกร้าน ฟื้นฟูเซลล์ผิว และให้ผิวนุ่มเนียนขึ้น

    2. ปลาแซลมอน โดย เฉพาะแซลมอนจากธรรมชาติ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่าแอสตาแซนทินสูงกว่าแซลมอนเลี้ยง นอกจากทำให้เนื้อแซลมอนมีสีชมพูแล้ว ยังมีฤทธิ์ลดการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ ควรรับประทานแซลมอนสัปดาห์ละ 2 มื้อ

    3. มะเขือเทศ เพราะ สารสีแดงหรือไลโคปีนในมะเขือเทศจะทำหน้าที่เหมือนครีมกันแดดตามธรรมชาติ ไม่ให้ยูวีตัวร้ายทำลายถึงผิวหนังชั้นในได้ และเพื่อให้ได้ผลดีที่สุดต้องกินมะเขือเทศคู่กับน้ำมันมะกอกด้วย

    4. ส้ม และ มะนาว ผลไม้ตระกูลซิตรัสนี้มีวิตามินซีสูง มีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ยังมีสารไบโอฟลาโวนอยด์ ที่จะช่วยปกป้องผิวจากอันตรายซึ่งมากับแสงแดดด้วย

   5. ผักใบเขียว เช่น ผักโขม บร็อกโคลี และ คะน้า ล้วนอุดมด้วยลูทีน ซึ่งมีคุณสมบัติปกป้องผิวจากแสงแดดไม่ให้ติดเชื้อและเกิดริ้วรอย

อยากมีผิวสวยแค่ทาครีมบำรุงคงไม่พอ หากคุณอยาก ชะลอความแก่ ต้องเลือกกินให้สวยอย่างยั่งยืนจากภายในด้วยนะคะ

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับสุขภาพ 5 อาหารชะลอความแก่และริ้วรอย จาก นิตยสาร Health & Cuisine  

หน้าเด็กน่องเล็กเพียงแค่ปั่นจักรยาน


             ทราบไหมคะ ว่า ปั่นจักรยาน สัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 30 นาที นอกจากจะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจและปอดแข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้คุณสาวๆ หน้าเด็ก ลงได้ด้วย เพราะร่างกายจะลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารสู่ผิวได้ดีขึ้น เพื่อสร้าง คอลลาเจน ซ่อมแซมผิวให้ดูอ่อนเยาว์ แต่หากกังวลว่าการ ปั่นจักรยาน จะทำให้คุณขาใหญ่แล้วละก็ เรามีเทคนิคง่ายๆ มาฝากค่ะ เพียงแค่ปรับเบาะให้สูงในระดับที่เท้าแตะพื้นได้ เพื่อให้เรียวขาเหยียดเกือบตรงเมื่อถีบบันไดจนสุด เวลาถีบจะเป็นการช่วยกระชับเรียวขา ยิ่งถ้าเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องขณะปั่น เล็กน้อย ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องทุกส่วนกระชับแบนราบมากขึ้น

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับสุขภาพ หน้าเด็กน่องเล็กเพียงแค่ปั่นจักรยาน จาก นิตยสาร Health & Cuisine

เติมความสดชื่นให้ร่างกายในวันหยุดพักผ่อนกันเถอะ


เป็นกันไหมคะ ถ้าต้นสัปดาห์ของการทำงานคุณรู้สึกเหนื่อย หมดแรง หมดพลัง จนอาจส่งผลให้งานที่ทำไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หากคุณรู้สึกได้ถึงอาการดังกล่าว เรามีวิธีชวนคุณมาผ่อนคลาย เพิ่มพลังให้ร่างกายสดชื่น มีความสุข และสนุกกับการดำเนินชีวิตในแต่ละวันมาฝากค่ะ

ถ้ารู้สึกอ่อนล้าหมดแรงสุดๆ นั่นแสดงว่าทั้งร่างกายและจิตใจเราต้องการพักผ่อนแล้ว ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ควรได้พักอย่างจริงจังสัก 1 วัน หยุดตระเวนท่องเที่ยวห้างฯ เปลี่ยนจากขับรถออกไปรับลมต่างจังหวัด มาเป็นการนอนให้เต็มอิ่ม และปลายสัปดาห์เตรียมอาหารดีๆ มีประโยชน์เน้นผักผลไม้ไว้ เพื่อวันหยุดจะได้ทำมื้ออร่อยง่ายๆ กินเองโดยไม่ต้องวุ่นวายกับการออกไปซื้อหาก็สามารถฟื้นฟูพลังได้แล้ว
แต่เท่านี้ยังไม่พอ หากต้องการเติมความสดชื่นเพิ่มชีวิตชีวาให้กับตัวเอง เราต้องเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ บ้าง นึกถึงตอนคุณได้เสื้อตัวใหม่สวยถูกใจสิคะว่าตื่นแต้นดีใจอยากให้พรุ่งนี้มา ถึงเร็วๆ จะได้ใส่ไปทำงาน ร่างกายและใจของเราก็ต้องการสัมผัสกับสิ่งใหม่เช่นเดียวกัน

ถ้าต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงหรือให้ความแปลกใหม่กับร่างกายและใจครบ ทุกส่วน ควรใส่ใจในสัมผัสทางร่างกายทั้ง 5 และ ใจอีก 1 รวมเป็น 6 ส่วนจะทำได้อย่างไรบ้างนั้น เรามาดูไปพร้อมกันเลยค่ะ

1. มองภาพสบายตา
ทุกมุมมองรอบๆ ตัวที่มีข้าวของกองสุมรกรุงรัง นี่ละตัวการก่อให้เกิดความเครียด จัดการมุมโปรดของตัวเองให้น่านั่งน่านอน…นำลังหรือกล่องพลาสติกขนาดต่างๆ มาเก็บของเหล่านี้ก็ได้ค่ะ

- หาภาพสวยๆ หรือของสะสมหรือของแต่งบ้านชิ้นโปรดที่เคยเก็บเข้าตู้ไว้นานแล้ว นำมาปัดฝุ่นวางตกแต่งห้องอีกครั้ง ได้ความสบายตาโดยไม่ต้องไปซื้อหามาเพิ่มใหม่

- ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ วัด วัง ศูนย์ศิลปะ สัมผัสศิลปะแท้ๆ ที่เห็นแล้วไม่ต้องนึกถึงการซื้ออย่างการเดินช้อปปิ้ง

- สัมผัสกับธรรมชาติบ้าง แค่ออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ เดินผ่านร้านดอกไม้บ่อยๆ หยุดแวะมองบ้างหรือซื้อกลับบ้านมาจัดแจกันสร้างบรรยากาศให้สดใสขึ้นก็เข้าที ดี หยุดไปเพิ่มพลัง ให้กลับมามีแรงทำงานเพิ่มเป็นสองเท่าจะดีกว่า

2. รับรสชาติสดชื่น หลังจากกินแบบเร่งรีบ มาตลอดสัปดาห์ ในวันหยุดมากินอาหารที่มีประโยชน์กันดีกว่า กินให้ครบ 5 หมู่ แต่เน้นผักผลไม้ให้มากกว่าวันธรรมดา ยิ่งได้ผักผลไม้หลากสียิ่งดีเพราะจะได้วิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด สังเกตตัวเองดูแล้วจะพบว่ามื้อไหนที่กินผักผลไม้มากจะรู้สึกสดชื่น แต่ถ้ามื้อไหนหนักเนื้อสัตว์ ยิ่งถ้ามีไขมันมากๆ จะรู้สึกหนักตัว อึดอัด อ่อนล้า เมนูง่ายๆ อย่างแซนด์วิชทูน่าหรือไก่ ปลานึ่งซีอิ๊ว ยำรสอ่อน หรือ สลัดผักผลไม้น้ำใส ในสลัดควรจะมีผักสีเขียว ถั่วฝักสีเขียว ถั่วแดง ไข่ เพิ่มธาตุเหล็กให้ร่างกาย เพื่อเพิ่มพลัง คนที่ขาดธาตุเหล็กจะรู้สึกอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง แล้วอย่าลืมเมนูอุดมคุณค่า อย่างข้าวต้มข้าวกล้องกับปลาเล็กปลาน้อย แกงจืดเต้าหู้ผักรวม โยเกิร์ตและสลัดธัญพืชหรืออาจโรยธัญพืชลงไปในข้าวหรือสลัด ถ้าเลือกได้ก็เลือกอาหารออร์แกนิกหรือพวกปลอดสารพิษ ถึงแม้จะราคาสูงกว่าแต่ก็คุ้มที่จะให้ร่างกายได้รับอาหารดีๆบ้าง

3. สัมผัสกลิ่นหอมรื่นรมย์ อโรมาเทอราปีอาจจะเป็นสิ่งที่นึกถึงเป็นอันดับแรก น้ำมันหอมระเหยของแท้จะช่วยสร้างความสดชื่นปรับอารมณ์ให้เราได้ แค่หยดบนเตาน้ำมันหอมหรือหยดบนผ้าเช็ดหน้าวางไว้ในห้อง กลิ่นที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น ลาเวนเดอร์ แคลรี่เซจ เจอราเนียม เบซิล กลิ่นที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่นก็เช่น โรสแมรี่ จูนิเปอร์ เลม่อน ส้ม เปปเปอร์มินท์ หรือวิธีที่ง่ายกว่าการออกไปซื้อน้ำมันหอมระเหยก็หาดอกไม้ไทยหอมๆ จัดแจกันหรือลอยน้ำ หรือไปร้านสมุนไพรเลือกกลิ่นที่ชอบแล้วนำมาใส่ถ้วยเล็กๆ วางไว้ก็ช่วยให้กลิ่นภายในห้องน่ารื่นรมย์ขึ้นแล้วล่ะ

4. ฟังเสียงเพลงไพเราะ เปลี่ยนมาฟังเพลงคลาสสิกในจังหวะช้าๆ หรือเพลงประเภท meditation ที่ในสปาชอบใช้ หรือฟังซีดีเสียงธรรมชาติดู อาจช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หรือถ้ามีโอกาสออกไปนอกบ้านก็ลองฟังเสียงนกร้องเสียงลมพัดใบไม้ดูบ้างว่า เป็นดนตรีธรรมชาติที่ไพเราะขนาดไหน
ในวันหยุดที่ต้องการผ่อนคลายหากเป็นไปได้ควรจะปิดโทรศัพท์ปิดการรับรู้ ความวุ่นวายภายนอก งดจู้จี้ขี้บ่น พูดคุยกันแต่เรื่องดีๆ งดรับข่าวสาร หยุดวิเคราะห์ถกปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง 1 วัน ต้องรู้จัก “ช่างมัน” บ้าง

5. สัมผัสสบายกาย การ อาบน้ำเย็นในอุณหภูมิห้องหรือใช้ขันตักน้ำจากถังอาบก็เป็นอีกวิธีที่ง่ายที่ สุดที่จะ สร้างความสดชื่นได้ หาซื้อสบู่หรือครีมกลิ่นหอมที่ชอบมากๆ ไว้ใช้ในวันที่ต้องการความสดชื่น จะยิ่งรู้สึกดีขึ้นเป็นพิเศษกับการอาบน้ำ การสวมเสื้อผ้าเนื้อนุ่มสบายตัวไม่ รัดรึง หรือเปลี่ยนผ้าปูที่นอนปลอกหมอนผ้าห่มให้เป็นผ้าเนื้อนุ่มน่านอนจะช่วยให้ ผ่อนคลายและหลับสบายขึ้นกว่าเก่า ถ้ามีคุณน้องหมาหรือน้องแมวอยู่ที่บ้านเล่นหรือลูบหัวเขาบ้าง ความน่ารักขี้อ้อนของเขาจะช่วยให้ผ่อนคลายสลายความเครียดกลับมาสดชื่นได้โดย ไม่ต้องมีคำพูดปลอบโยน อย่างในต่างประเทศมีการใช้ Pet Therapy เพื่อช่วยบำบัดให้คนไข้รู้สึกดีขึ้น การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมออย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมงจะช่วยให้สด ชื่นอยู่เสมอ เลือกการออกกำลังกายในแบบที่ช่วยให้ระบบการไหลเวียนทั่วร่างและหายใจเข้าออก สม่ำเสมอ เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ โยคะ แอโรบิค เลือกแบบที่ชอบแล้วจะสนุกกับการออกกำลังกายจนอยากทำเป็นประจำ

6. ผ่อนคลายจิตใจ ทิ้งปัญหาความเครียดไปชั่วคราว คิดถึงแต่เรื่องดีๆ หาหนังสือที่อ่านแล้วจรรโลงใจ หรือหามุมสงบในบ้านนั่งหลับตาผ่อนคลายนึกถึงสถานที่อย่างเช่นทะเลหรือป่าเขา ซัก 5 นาที ถ้ารู้สึกยังสบายอยู่ก็นั่งให้นานขึ้นก็ได้ หรือฝึกทำสมาธิเพื่อทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง มองโลกในแง่ดี มองคนอื่นและตัวเองในแง่ดีลองเลิกมองแบบจับผิด พยายามหาข้อดีให้มากขึ้นและมองบ่อยๆ หัดมีเมตตากับคนอื่นๆ บ้าง เท่านี้ก็ช่วยให้หายเหนื่อยใจไปตั้งเยอะ

อย่ารอให้ถึงวันหยุดยาวประจำปีเพื่อเก็บ กระเป๋าไปพักผ่อนที่เมืองนอกเลยทีเดียว แบบนั้นออกจะนานเกินไปหน่อย แต่ถ้าคุณได้เพิ่มพลังใหม่ให้ตัวเองสัปดาห์ละหน นอกจากคุณจะเหนื่อยน้อยลงแล้วยังจะสดใสกว่า อีกด้วย ถ้าทำได้ทุกวันความสดชื่นสดใสก็จะอยู่กับคุณไปอีกนาน

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับสุขภาพ เติมความสดชื่นให้ร่างกายในวันหยุดพักผ่อนกันเถอะ จาก momypedia.com

คันน้องหนูไม่รู้เป็นอะไร? ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา

คันบริเวณจุดซ่อนเร้น อาการเริ่มต้นที่แสดงว่า ช่องคลอดอักเสบ จาก เชื้อรา
แม้มีอาการแค่เล็กน้อย ก็ต้องรักษาให้ถูกวิธี


 

1. การติดเชื้อในช่องคลอดเกิดขึ้นได้อย่างไร

ช่องคลอดอักเสบ มักเกิดจากช่องคลอดเสียสมดุลย์ทำให้เชื้อแลคโตแบซิลลัสในช่องคลอดที่เป็น เชื้อดีช่วยในป้องกันโรคมีจำนวนลดลง  เชื้อราในกลุ่มแคนดิดาซึ่งเป็นเชื้อที่อยู่ในช่องคลอดตามธรรมชาติ ก็จะเจริญเติบโตเพิ่มมากขึ้นก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่ายขึ้น พบได้บ่อยในผู้หญิงที่ ใส่กางเกงที่คับหรืออับชื้นเป็นเวลานาน ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่ชอบทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ผู้ที่ทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน หรือ ทานยาสเตียรอยด์เพราะยานี้จะไปลดภูมิคุ้มกันโรค และยังอาจพบบ่อยในหญิงตั้งครรภ์

2. ความเชื่อผิดๆเรื่องคันตกขาวบริเวณจุดซ่อนเร้น

คันตกขาวจากเชื้อราเป็นเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นได้ในทุกช่วงอายุ และ75 % ของผู้หญิงมักเคยเป็นอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ผู้หญิงส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าอาการคัน ตกขาว เกิดจากการไม่รักษาความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้น หรือ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้รักษาอย่างไม่ถูกวิธี โรคจึงกลับมาเป็นซ้ำได้อีกบ่อยๆ ซึ่งจริงๆแล้วเกิดจากการอักเสบของช่องคลอดจากเชื้อรา ซึ่งสามารถรักษาได้และไม่ยุ่งยากอีกด้วย

3. คัน อาการที่แสดงว่าเกิดการติดเชื้อราในช่องคลอด

อาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นอาการเริ่มต้นที่บ่งบอกว่าเกิดการอักเสบภายใน ช่องคลอดจากเชื้อรา แต่สาวๆมักจะใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฉพาะที่เพราะเข้าใจผิดคิดว่า เกิดจากการไม่รักษาตวามสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้น ความจริงคือ 90% ของอาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้น มีสาเหตุจากการติดเชื้อราภายในช่องคลอด ซึ่งอาจมีตกขาวร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ ตกขาวจากเชื้อราจะมีลักษณะสีขาวหรือสีเหลืองจับตัวเป็นก้อน ไม่มีกลิ่น คันบริเวณอวัยวะเพศอาจเกิดได้ทั้งภายนอกและภายใน บางครั้งมีอาการบวมแดง หรือ เจ็บปากช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์ หากตกขาวมีกลิ่นแรงหรือกลิ่นคาว ควรปรึกษาแพทย์ทันที

4. วิธีการรักษาที่ถูกต้อง

เมื่อมีอาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรรักษาตั้งแต่เริ่มเป็น การรักษาที่ถูกต้อง คือการรักษาที่ต้นเหตุซึ่งเกิดจากเชื้อราภายในช่องคลอด ถ้าไม่รักษาให้ถูกวิธี เชื้ออาจลุกลาม เกิดตกขาวมากขึ้น หรือติดเชื้ออื่นๆตามมาได้ และอาจทำให้อาการกลับมาเป็นอีกได้บ่อยขึ้น ดังนั้น จึงควรเริ่มรักษาอาการคันด้วย ยาฆ่าเชื้อราชนิดเม็ดสอดช่องคลอด

ยาฆ่าเชื้อราชนิดเม็ดสอดช่องคลอดที่ดี ควรมีคุณสมบัติสำคัญ 2 ประการ คือ 1. ฆ่าเชื้อราในช่องคลอดที่เป็นต้นเหตุของอาการคัน 2. ช่วยปรับสมดุลย์ภายในช่องคลอดที่เสียไปให้เป็นปกติ ด้วยการช่วยการเจริญเติบโตของเชื้อแลคโตแบซิลลัสที่เป็นเชื้อดีในช่องคลอด ซึ่งจะช่วยป้องกับการติดเชื้ออื่นได้   ผู้หญิงหลายคนยังกลัวที่จะใช้ยาชนิดเม็ดสอดช่องคลอด ทั้งที่เป็นการรักษาที่ถูกต้องเพราะรักษาเฉพาะที่ตรงจุดที่เป็น อาการข้างเคียงต่ำ ยาชนิดเม็ดสอดฯที่ดี จะใช้ง่าย สะดวก เพียงแค่ครั้งเดียวก่อนนอน

นอกจากนี้เพื่อความมั่นใจและบรรเทา อาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้นควรใช้ยาฆ่าเชื้อราชนิดครีมทาภายนอกควบคู่กับยา ฆ่าเชื้อราชนิดเม็ดสอดช่องคลอด เพื่อช่วยลดอาการคันได้เร็วขึ้น และช่วยป้องกันเชื้อรากลับเข้าไปในช่องคลอดอีก

5.วิธีง่ายๆในการดูแลจุดซ่อนเร้น

•   ไม่สวมใส่กางเกงที่รัดรูปหรือคับแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้อับชื้นระบายอากาศได้ไม่ดี

•   เลือกซื้อกางเกงในที่ทำจากผ้าฝ้าย ซึ่งจะช่วยระบายอากาศได้ดี ไม่ควรเลือกกางเกงในที่ผลิตจากไนลอน

 
•  ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยทุกวันและช่วงมีระดู ผ้าอนามัยควรเปลี่ยนบ่อยๆ ไม่ควรใช้ผ้าอนามัยแผ่นเดียวเป็นเวลานาน

 
•   ควรตากกางเกงใน บริเวณที่มีแดดอ่อนๆ เพราะกางเกงในจำเป็นต้องตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อรา

 
•   ห้ามสวนล้างทำความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้น เพราะทำให้ช่องคลอดเสียสมดุลย์ ทำให้เชื้อราเติบโตได้


ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับสุขภาพ คันน้องหนูไม่รู้เป็นอะไร? ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา จาก woman mthai  

โรคกระดูกและกล้ามเนื้อ ภัยเงียบใกล้ตัวของคน GEN Y


พอขึ้นชื่อว่าโรคกระดูกและกล้ามเนื้อก็ อย่าเพิ่งนึกสบายตัวว่าจะมีแต่คนสูงอายุที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้ เพราะด้วยการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไปทำให้ภัยที่ว่าไกล นั้นกลับใกล้ตัวกว่าที่คาดเนื่องจากผู้คนยุคนี้ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับกล้าม เนื้อและกระดูกไวขึ้นกว่าเดิมนพ.กิตติพงศ์ พงศ์แพทย์พิพัฒน์ Sport Medicine ประจำ Chirohealth Bangkok ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องโรคกระดูกและกล้ามเนื้อที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์จน แทบจะเป็นเนื้อเดียวกันไว้อย่างน่าสนใจ สรุปใจความได้ดังนี้

ทำไมกระดูกและกล้ามเนื้อถึงสำคัญ

โครงสร้างของร่างกายต้องมีกล้ามเนื้อมา ยึดเกาะตามแต่ละข้อต่อ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ของข้อต่อ กระดูก และก็กล้ามเนื้อนั่นคือที่มาว่าทำไมคนเราถึงเคลื่อนไหวได้ สมมติว่ากล้ามเนื้อเราไม่แข็งแรง หรือโครงสร้างของเราไม่แข็งแรงก็จะมีผลต่อการเคลื่อนไหว ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าคนเป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกบาง เวลาที่ไปทำกิจกรรม ยกของ โอกาสบาดเจ็บก็จะมากกว่าคนอื่นโดยปกติกล้ามเนื้อจะเป็นตัวกระจายแรงฉะนั้น เวลามีแรงกระทำต่อร่างกาย กล้ามเนื้อจะรับไปส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็ลงไปที่กระดูก ในกรณีที่กล้ามเนื้อไม่แข็งแรงน้ำหนักก็จะถูกทุ่มลงบนกระดูกโดยตรง แล้วยิ่งถ้ากระดูกก็ไม่แข็งแรงด้วยก็จะส่งผลให้เกิดการกระจายน้ำหนัก ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อโครงสร้างตรงนั้นเพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ของกระดูกและข้อ รวมทั้งกล้ามเนื้อจึงมีความสำคัญพอๆ กันจนแทบจะแยกไม่ออก

พฤติกรรมเสี่ยงทำร้ายกระดูกและกล้ามเนื้อ

ในปัจจุบันพฤติกรรมที่ส่งผลให้คนไทย เกิดความบกพร่องในเรื่องของข้อและกระดูก่อนวัยอันควรนั้น เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อ ข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเวลานานๆ อย่างพวกออฟฟิศซินโดรมทั้งหลาย ที่งานส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานนั่งโต๊ะ ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่พบความผิดปกตติบ่อยที่สุดส่วนในสังคมชนบทที่ เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงาน การทำนา ทำสวน การยก การหาบ การแบก การลาก การจูง แต่ละกิจกรรมเหล่านี้จะก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้เช่นกันเนื่องจากมีการ เคลื่อนของหมอนรองกระดูก มีโอกาสเสี่ยงที่กระดูกจะหัก เพราะฉะนั้นการบาดเจ็บ หรือการดูแลขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในการปฏิบัติตนด้วย
ตอนนี้คนไทยป่วยเป็นโรคกระดูกและกล้าม เนื้อกันมากที่พบบ่อยก็จะเป็นในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยมักเป็นเรื่องของข้อเข่าเสื่อม หลังเสื่อม ส่วนคนในวัยทำงานก็เป็นเรื่องของการบาดเจ็บจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์ การใช้เทคโนโลยี การยกของ และในวัยเด็กหรือวัยที่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว จะพบบ่อยในเรื่องของกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเป็นพวกกระดูกหลังคด หมายความว่าไม่ว่าคุณจะเป็นเจนไหนๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคกระดูกและกล้ามเนื้อได้เช่นกัน

แต่ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับโรค กระดูกและกล้ามเนื้อ วิธีที่ง่ายที่สุดคือรักษาสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และหมั่นออกกำลังกายกันเยอะๆ เพียงเท่านี้ ก็สามารถช่วยชะลอความใกล้ของโรคกระดูกและกล้ามเนื้อไม่ให้มาเยือนคุณก่อนวัย อันควร

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับสุขภาพ โรคกระดูกและกล้ามเนื้อ ภัยเงียบใกล้ตัวของคน GEN Y จาก womanplusmagazine.com

8 ทริคง่ายให้คุณดื่มน้ำมากขึ้น


     สาวๆ ส่วนใหญ่ก็ทราบก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดี แต่หลายคนก็ไม่เคยชิน และทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันไม่ได้สักที…

วันนี้ ผู้หญิงแฮปปี้.blogspot.com จึงขอแนะนำทริคดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณดื่มน้ำได้มากขึ้น มาฝากกันค่ะ

1. ดื่มน้ำให้เหมือนเป็นกิจวัตร พยายามดื่มน้ำทุกเช้าหลังตื่นนอนให้เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะการดื่มน้ำตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากดื่มน้ำมากไปตลอดทั้ง วัน ทั้งยังช่วยเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย

2. บีบน้ำมะนาวใส่นิด ๆ หากคุณรู้สึกแปลก ๆ กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำ

3. ทำให้มันใสอยู่เสมอ หมั่นตรวจดูปัสสาวะของคุณหลังเสร็จธุระ เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังใสอยู่เสมอ เพราะความใสนั้นเหมือนเป็นดัชนีวัดว่า ร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองเข้ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ

4. ถ้าร้อนนัก ก็ดื่มซะ เมื่อคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เดือดดาล ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะบางครั้งการเลือกเครื่องดื่มก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา การที่คุณได้ถือเครื่องดื่มอุ่น ๆ สักแก้วไว้ที่มือ อาจช่วยให้คุณลดอารมณ์เดือดดาลลงได้มากกว่าเครื่องดื่มปกติ ยิ่งกว่านั้น ในกาแฟและน้ำชายังมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มอัตราการกำจัดน้ำออกจากร่างกายของคุณ ในรูปของปัสสาวะ

5. ดื่มน้ำเมื่อคุณถูกความตะกละจู่โจม บางครั้งความรู้สึกหิวของคนเราก็เป็นความกระหายแบบหลอก ๆ หรือแค่รู้สึกตะกละเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถแก้อาการนี้ได้ด้วยการหาน้ำดื่มซัก 1- 2 แก้ว เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินอะไรรองท้อง

6. เริ่มปฏิบัติจากขั้นตอนง่าย ๆ อย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้ จากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจากคนที่ไม่ดื่มน้ำเลยมาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่คุณควรเริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าของวันตามด้วยการดื่มน้ำอีก 1 แก้วก่อนนอนจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้น

7. ถูก และ ถูก อย่าลืมว่า น้ำดื่มตามภัตตาคารนั้นมีให้บริการฟรี แบบไม่อั้น

8. หมั่นหาแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้ว 1 ใบ มาวางไว้ข้างตัวคุณเสมอ ขณะคุณกำลังทำงาน เพราะมันจะทำให้คุณสะดวกต่อการหยิบขึ้นมาจิบไปเรื่อยๆ ขณะทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องสุมหัวคิดงานกับเพื่อน ๆหรือเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหากคุณไม่ต้องการให้มือของคุณอยู่ว่าง

        เป็นยังไงกันบ้างคะ…ทริคง่ายๆ ในการดื่มน้ำที่แนะนำไปไม่ยากอย่างที่คิดใช่ไหม อย่าลืมหันมาใส่ใจสุขภาพของคุณกันนะคะ…ง่ายๆ แค่ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว เท่านั้นเองค่ะ…

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับสุขภาพ 8 ทริคง่ายให้คุณดื่มน้ำมากขึ้น จาก สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา

กล้ายอมรับ “ ฉันไม่ใช่ แม่ เพอร์เฟค ”?!


คุณว่าตัวเองเป็น แม่ ที่สมบูรณ์แบบหรือเปล่า หากคุณยอมรับและมี “ความกล้าที่จะเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ**”ถ้าคุณกล้าพอ คุณจะพบของขวัญที่มนุษย์ทุกคนต้องการ…

…การมีชีวิตโดยไม่ต้องกังวล ถึงเรื่องที่ผ่านมาในอดีตและอนาคตแต่อยู่กับปัจจุบัน และพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ในแบบที่ตัวเองเป็น…อย่างที่แม่ติ๋วและตั้มหาของขวัญชิ้นนี้เจอแล้ว

เพราะคุณและลูกของคุณต่างเป็นมนุษย์ ต่างไม่สมบูรณ์แบบ
ด้วยตอนเล็กๆ ครอบครัวของแม่ติ๋วค่อนข้างลำบาก จึงต้องอดทน ทำงานช่วยเหลือครอบครัวตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่แม่ติ๋วก็เป็นเด็กเรียนดี หยิบจับอะไรก็ทำได้ดี ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ มีหน้าที่การงานดี แม่ติ๋วจึงเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่มีคำว่าผิดพลาดในชีวิตแม่ เมื่อมีครอบครัวและลูก

แม่ติ๋วก็ตั้งใจทำหน้าทีแม่ทุกอย่างเต็มที่ อยากให้ลูกทำได้เหมือนแม่ ทว่าตั้มกลับเป็นตรงกันข้าม
ตอนนี้ตั้มอายุ8 ขวบแล้วเรียนไม่ค่อยดี ดนตรี กีฬา ศิลปะก็ไม่ค่อยถนัด ทุกครั้งที่ลูกชายทำอะไรแล้วไม่สำเร็จ แม่จะว่า “ไม่เอาไหน แม่ลำบากตั้งแต่เล็กๆ แต่ก็ยังเรียนได้ดีเลย”แต่ตั้มไม่เคยสนใจคำแม่ แม่คิดว่าตั้มเป็นเด็กดื้อเงียบ

มีอย่างหนึ่งที่ตั้มชอบมาก ประกอบตัวต่อหุ่นยนต์ เขาทำได้ไม่มีเบื่อ ประกอบเสร็จจะเอามาให้แม่ดูทุกครั้ง แต่แม่ไม่ค่อยสนใจ เพราะไม่เห็นประโยชน์ แถมบ่นส่งท้าย “ทำอะไรไม่รู้ เอาเวลาไปทบทวนหนังสือหนังหา จะได้เรียนสู้คนอื่นได้ดีกว่า” และถ้ายิ่งเวลาแม่ทำงาน แล้วหงุดหงิด แทบไม่ได้มองหุ่นยนต์ที่ตั้มมาวางให้ดูด้วยซ้ำ

วันนั้นแม่ติ๋วกำลังคุยโทรศัพท์กับลูกค้าที่โทรมายกเลิกงานที่ไปนำเสนอ ไว้ ตั้มกำลังเล่นประกอบตัวต่อเป็นหุ่นยนต์ตัวใหญ่ ใช้เวลาอยู่นานเกือบจะเสร็จอยู่แล้ว แม่วางสายพอดี ถอนหายใจ เริ่มเครียดเพราะเป็นงานสำคัญ กำลังคิดหาทางแก้ไข

ตั้มรีบลุกจะวิ่งไปหาแม่เรียกให้ดูหุ่นยนต์แต่ไม่ทันระวัง จึงชนหุ่นยนต์หล่นจากโต๊ะหลุดกระจายเต็มพื้น ตั้มร้องไห้โฮ!! แม่กำลังหงุดหงิด และตั้มก็ยังร้องไห้ให้บรรยายกาศอึมครึมไปอีก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ แม่คงดุตั้มยกใหญ่ แต่หลังจากแม่ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นจากการอบรมเพื่อเป็นพ่อแม่ที่ดีรูปแบบ ใหม่ว่าแม่ให้ความสำคัญกับความคิดของตัวเองมากกว่าจะสนใจความรู้สึกของลูก จึงไม่เคยมองเห็นว่าเวลาที่ลูกทำอะไรไม่สำเร็จเขารู้สึกอย่างไร และวันนี้เมื่อแม่ทำงานสำคัญพลาด ทั้งที่ไม่เคยพลาด ทำให้แม่เข้าใจมากขึ้น

คราวนี้แม่ติ๋วลุกมาหาตั้มแล้วพูดว่า “วันนี้เป็นวันที่แย่จริงๆ สำหรับเราทั้งสองคนเลยนะ แม่เข้าใจความรู้สึกของตั้มดีเพราะแม่เพิ่งถูกปฏิเสธงานที่เสนอลูกไป แต่แม่เห็นว่าตั้มอดทนและมีความพยายามมากทุกครั้งที่ต่อหุ่นยนต์ แม่เชื่อว่าตั้มจะต่อใหม่ได้ แม่ก็จะพยายามเหมือนกันนะ”

การถูกปฏิเสธงานทำให้แม่ติ๋วรู้สึกแย่ แต่แม่ก็แสดงความเข้าใจปัญหาและไม่ละเลยความรู้สึกของตั้มว่ามีความสำคัญ สำหรับแม่เช่นกัน แม่ไม่ปล่อยให้ตัวเองวนเวียนอยู่การพลาดงานครั้งนี้

การเข้าใจและยอมรับความรู้สึกของตนเองและของลูก เป็นวิธีให้เกียรติตัวเองและผู้อื่น (ที่ทั่วไปใช้คำว่าเคารพความรู้สึกตัวเองและความรู้สึกของผู้อื่น) ซึ่งสิ่งนี้ทำให้คนเราเห็นคุณค่าในตนเอง เป็นจุดสำคัญในการเสริมสร้างกำลังใจ

ความสัมพันธ์ของแม่ลูกก็ไปในทางที่ดี แม่ติ๋วผ่อนคลายลง เข้าใจและยอมรับว่าไม่จำเป็นต้องเป็นแม่สมบูรณ์แบบลูกก็รักและเชื่อฟังเธอ ได้ ตั้มให้ความร่วมมือกับแม่เรื่องเรียนมากขึ้น แม่ก็หันมาสนใจการประกอบหุ่นยนต์ของตั้มและมองเห็นข้อดีในตัวตั้มหลายๆ อย่างจากงานนี้

หมายเหตุ** ดร. รูดอล์ฟ ไดรเคอร์ส (Rudolf Dreikurs) จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ผู้ริเริ่มพัฒนาแนวคิด “ความกล้าที่จะเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ”

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก กล้ายอมรับ “ ฉันไม่ใช่ แม่ เพอร์เฟค ”?! จาก นิตยสาร Real Parenting

แม่ท้องไม่สบาย ..ใช้ยาได้ไหมเนี่ย ?


โดย: ผศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร

แม่ท้อง ก็มีวันเจ็บไข้ได้เหมือนกันนะ สงสัยจังว่า..จะดูแลตัวเองยังไงดี

“โอย…!  ไม่สบาย มา 2-3 วันแล้ว เจ็บคอจังเลย น้ำมูกก็เยอะ หายใจไม่ออก ทำยังไงดี ยาก็ไม่กล้ากินเพราะท้องอยู่”

“ตอนนี้ท้องแล้ว ยาที่เคยกินเป็นประจำ จะกินต่อได้ไหมนี่ ?”
“ตายแล้ว…เมื่อวานกินยาแก้ปวดไป 2 เม็ด จะเป็นอะไรไหมนี่ กำลังท้องอยู่เสียด้วย”

เมื่อไม่ สบายเล็กๆ น้อยๆ คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่คงเคยคิดสงสัยแบบนี้มาแล้วและพอพูดถึงเรื่องไม่สบาย คงหนีไม่พ้นที่ต้องพูดถึงเรื่องยาด้วย หลายคนคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของยาบางอย่างที่ทำให้ลูกน้อยในท้องพิการ จึงทำให้เกิดความกังวลเวลาไม่สบายขึ้นมา(เพราะอาจต้องกินยา)

จริงครับ ยาบางชนิดอาจมีผลร้ายแรงต่อลูกในท้อง สามารถทำให้เกิดการแท้ง หรือพิการแต่กำเนิดได้ แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ยาที่ใช้กันทั่วไปส่วนใหญ่แล้วค่อนข้างปลอดภัยทั้งกับคุณแม่และลูกในท้อง แต่เพื่อความไม่ประมาท เมื่อจะใช้ยาคุณแม่ควรต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถ้าแพทย์ผู้ดูแลไม่ได้สั่งยานั้นให้(ซื้อเองตามร้านขายยาทั่วไป)

แม่กินยา..ลูกกินด้วย

ยาเกือบ ทุกชนิด เมื่อคุณแม่กินเข้าไป จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด และส่วนหนึ่งจะผ่านรกไปสู่ลูกในท้อง ทำให้ลูกได้รับยานั้นด้วย ยาจะก่อให้เกิดอันตรายต่อลูกในท้องหรือไม่นั้น ขึ้นกับว่าเป็นยาชนิดอันตรายมากน้อยแค่ไหน และลูกได้รับในปริมาณเพียงใด ที่สำคัญยังขึ้นกับระยะของการตั้งครรภ์อีกด้วย
โดยปกติแล้ว ช่วงเวลาที่อันตรายและอาจทำให้ลูกน้อยเกิดความพิการได้มากที่สุด คือช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ทารกกำลังสร้างอวัยวะต่างๆ อยู่ ถ้ามีอะไรไปรบกวนในช่วงนี้จะทำให้เกิดความพิการขึ้นมาได้

เมื่อพ้นช่วงนี้ไปแล้วมักไม่มีผลทำ ให้เกิดความพิการอะไรหรอกครับ แต่จะไปมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มากกว่า ที่สำคัญอีกอย่างคือ มีผลต่อสมอง ซึ่งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยตลอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนหลังคลอด ดังนั้นยาบางชนิดแม้จะไม่ก่อให้เกิดความพิการที่เห็นได้ชัดทางร่างกาย แต่อาจมีผลต่อพัฒนาการของสมองของลูกได้

ใช้ยาให้ปลอดภัย

คุณแม่คงสงสัยว่า แล้วอย่างนี้ถ้า ไม่สบาย ขึ้นมาระหว่างที่ท้องอยู่จะทำอย่างไรดี? จะรับประทานยาได้หรือไม่ ? แล้วยาชนิดไหนอันตราย ? คำถามนี้ตอบยาก คงต้องพิจารณาเป็นกรณีไปครับ แต่มีคำแนะนำโดยทั่วไปอยู่บ้าง ถ้าคุณแม่เกิด ไม่สบาย ขึ้นมาหรือจำเป็นต้องรับประทานยาระหว่างตั้งครรภ์

* อย่าลืมประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่ โดยบอกให้แพทย์ เภสัชกร หรือใครก็ตามที่จะรักษาคุณแม่รู้ว่า ฉันกำลังท้องอยู่นะคะ โดยเฉพาะถ้าเพิ่งตั้งครรภ์ (ท้องโตมากแล้วคงไม่ต้องก็ได้ มันเห็นๆ กันอยู่น่ะ)

* ถ้าเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาใดๆ ก็ตามในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะยาที่ซื้อใช้เอง

* ถามตัวเองหรือหมอที่ดูแลว่า จำเป็นต้องใช้ยารักษาอาการไม่สบายที่เกิดขึ้นนั้นหรือไม่ มีทางเลือกอื่นบ้างหรือไม่ที่ไม่ต้องใช้ยา

* ถ้าจะต้องใช้ยาชนิดใดก็ตาม คุณแม่ต้องทราบให้แน่ชัดว่า ยานั้นใช้เพื่อรักษาอะไร และมีผลข้างเคียงหรือไม่ อย่างไร โดยเฉพาะกับลูกในครรภ์ คุณแม่อย่าไปเชื่อเอกสารกำกับยาเสียทีเดียวนะครับ บางทีรายละเอียดในนั้นมีไม่มากพอสำหรับแม่ตั้งครรภ์ อีกอย่างในบ้านเรามักไม่มีเอกสารกำกับยาให้ด้วยซ้ำ ดังนั้นควรปรึกษากับเภสัชกรหรือแพทย์เป็นดีที่สุดครับ

* ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล ว่ายาชนิดไหนปลอดภัยและอันตรายสำหรับแม่ตั้งครรภ์เสียตั้งแต่เริ่มไปฝากครรภ์

* อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจ ถ้ารับประทานยาบางชนิดเข้าไปแล้ว โดยเฉพาะตอนที่ยังไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ใจเย็นๆ ครับ เพราะอย่างที่บอก ยาส่วนใหญ่นั้นปลอดภัย แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความแน่นอนและสบายใจดีกว่าครับ

* ในกรณีที่คุณแม่มีโรคประจำตัว ต้องรับประทานยาบางชนิดอยู่เป็นประจำนั้น เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาถึงผลข้างเคียง ขนาดของยาและความจำเป็นที่จะต้องใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ แต่จะให้ดีที่สุด ควรปรึกษากันเสียก่อน ตั้งแต่เริ่มวางแผนว่าจะตั้งครรภ์ครับ รวมทั้งต้องคำนึงด้วยว่า ถ้าไม่ใช้ยารักษาโรคที่เป็นอยู่ จะส่งผลต่อการตั้งครรภ์หรือลูกในท้องหรือไม่ อย่างไร

* ระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่ควรใช้ยาในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดกับลูกให้มากที่สุด และเมื่อเกิดอาการไม่สบายขึ้นมา ถ้าเป็นไม่มากนักการดูแลรักษาตัวเองอย่างถูกต้องและเหมาะสม จะช่วยให้คุณแม่หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็นได้

แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาจริงๆ หัวใจสำคัญคือ ต้องใช้อย่างระมัดที่สุด หรือใช้ยาโดยไม่ได้อยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์

ดูแลรักษาตัวเองกันดีกว่า

อาการเจ็บไข้ไม่สบายบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอหรือกินยาเสมอไปหรอกครับ คุณแม่สามารถดูแลรักษาตัวเองได้

* ไข้หวัด
พบได้บ่อยมาก เป็นกันเกือบทุกคนแหละครับ ส่วนใหญ่ก็มีอาการไข้ ปวดศีรษะมีน้ำมูก ไอ หรืออาจมีอาการเจ็บคอร่วมด้วย ถ้าเป็นไม่รุนแรงมักหายได้เองถ้าดูแลรักษาตัวอย่างถูกวิธี ก็โดยการพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำเยอะๆ รักษาร่างกายให้อบอุ่น แค่นี้ก็เพียงพอครับ นอกจากนั้นก็อาจใช้ยาช่วยรักษาตามอาการด้วยก็ได้

สำหรับอาการไข้หรือปวดศีรษะ สามารถใช้ยาพาราเซตามอลแก้ปวด ลดไข้ได้เพราะปลอดภัย โดยรับประทานครั้งละ 2 เม็ดทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้ารู้สึกว่ามีไข้ ควรวัดอุณหภูมิสักหน่อยก็ดี ถ้าไข้ไม่สูงก็ลองรับประทานยาไปก่อนได้ แต่ถ้าไข้สูงเกิน 37.80 C ควรปรึกษาแพทย์ เรื่องของยาแก้หวัดลดน้ำมูกนั้น ที่ใช้กันทั่วไปก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย ส่วนยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบที่ เรียกๆ กันนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกราย จะใช้ก็ในกรณีที่คออักเสบหรือทอนซิลอักเสบร่วมด้วย ส่วนใหญ่ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาไข้หวัดนั้นก็ปลอดภัย แต่ไม่แนะนำให้ไปซื้อมารับประทานเอง ควรให้แพทย์สั่งให้จะดีกว่า

* ท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรือโรคกระเพาะอาหาร

พบได้บ่อยพอสมควรในคนท้อง เนื่องจากระบบการย่อยอาหารทำงานเปลี่ยนไปคุณแม่ที่มีอาการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้วต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดี ครับ โดยพยายามรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย และควรเปลี่ยนวิธีรับประทานอาหาร โดยรับประทานทีละไม่มาก และบ่อยๆ แทนที่จะรับประทานเป็นมื้อใหญ่ๆ (ทีละน้อยแต่ทั้งวันว่างั้นเถอะ) แต่ถ้ามีอาการมากอาจใช้ยาเคลือบกระเพาะ ลดกรดช่วยได้ ซึ่งปลอดภัยครับ

* ท้องผูก

นี่ก็เป็นปัญหาที่พบในแม่ตั้งครรภ์เกือบทุกคน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติครับ การดูแลรักษาตัวเองทำได้โดยพยายามรับประทานผัก ผลไม้มากๆ เพื่อเพิ่มกากอาหาร นอกจากนั้นควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อไม่ให้อุจจาระแข็งเกินไป จะช่วยให้ถ่ายสะดวกขึ้น ในกรณีที่เป็นมากจริงๆ ก็คงต้องพึ่งยาระบายครับ แต่ควรเป็นยาระบายชนิดที่ช่วยเพิ่มกากอาหาร หรือชนิดที่ทำให้อุจจาระอ่อนจะดีกว่าชนิดที่กระตุ้นการทำงานของลำไส้ครับ

* ท้องเสีย

พบได้ไม่ บ่อยนัก และส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงครับ ถ้าเพียงถ่ายเหลวไม่กี่ครั้งก็คงไม่มีอันตรายต่อทั้งคุณแม่และลูก เพียงแค่ดื่มน้ำมากๆ หรือดื่มน้ำผสมผงเกลือแร่ก็ได้ อาการก็มักจะหายไปเอง แต่ถ้าถ่ายเหลวและมีมูกหรือเลือดปนออกมาด้วย ควรไปพบแพทย์ครับ
อาการ เหล่านี้จะเกิดขึ้นกับระบบใดระบบหนึ่งของร่างกาย จะไม่ส่งผลใดๆ ต่อลูกในท้อง เช่น ท้องผูกก็ส่งผลแค่กับระบบขับถ่าย ไม่ส่งผลกับลูก แต่ที่ต้องระวังคือยาที่ใช้ ผิดกับโรคที่เกิดขึ้นกับร่างกายทั้งระบบ เช่น เบาหวาน ซึ่งส่งผลทั้งกับแม่และลูก และการรักษาก็ต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งยาที่ใช้ด้วย

ใช้ยาตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด

ในกรณี ที่แพทย์สั่งยาให้คุณแม่ไปรับประทาน โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ก็ควรรับประทานให้ตรงตามแพทย์สั่งจนหมด เพื่อให้อาการหายขาดและป้องกันการดื้อยาด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่เคยพบนั้น คุณแม่จะกลัวมาก จึงหยุดรับประทานยาเมื่ออาการดีขึ้น ผลก็คืออาการไม่หายขาดและกลับเป็นซ้ำขึ้นมาอีก ซึ่งบางรายอาจต้องใช้ยาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ อีกกรณีหนึ่งก็คือคุณแม่กลัวจะไม่หาย แม้กระทั่งยาหมดแล้วก็อุตส่าห์ไปหาซื้อยามารับประทานเพิ่มอีก อย่างนี้ก็ได้รับยาโดยไม่จำเป็นครับ

สรุปว่า ถ้าไม่สบายระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ต้องกังวลให้มาก ปฏิบัติตัวตามที่แนะนำ

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก แม่ท้องไม่สบาย ..ใช้ยาได้ไหมเนี่ย ? จาก Momy pedia

ช่วงตั้งท้องเจ็บหน้าอกไม่ใช่เรื่องน่ากลัว


ช่วงไตรมาสแรกระดับฮอร์โมนที่เพิ่มมาก ขึ้นจะกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณทรวงอกของว่าที่คุณแม่มากขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเปลี่ยนแปลงไปผลที่ตามมาก็คือ คุณแม่ท้องอาจรู้สึก เจ็บหน้าอก แปลบๆ  รวมถึงรู้สึกว่าหน้าอกไวต่อสัมผัสมากขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์ที่ 4 – 6 คุณแม่หลายคนอาจรู้สึกว่าอาการนี้คล้ายช่วงก่อนมีประจำเดือน เพียงแต่อาการช่วงตั้งครรภ์อ่อนจะชัดเจนและรุนแรงกว่า

คุณแม่อาจสังเกตเห็นเส้นเลือดดำใต้ผิวหนัง ทรวงอก หัวนมและลานนมมีสีเข้มรวมถึงขยายใหญ่ขึ้น รวมถึงมีตุ่มเล็กๆ (Montgomery?s Tubercles)บริเวณลานนม เป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังปรับตัวเตรียมพร้อมให้นมเมื่อเจ้าตัวเล็กคลอดออก มาเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายไตรมาสแรก หน้าอกของว่าที่คุณแม่จะเริ่มผลิตนมน้ำเหลือง (Colostrum) ซึ่งเป็นน้ำนมอึกแรกที่ลูกจะได้ดูดหลังคลอด
 
เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 8 หน้าอกของว่าที่คุณแม่จะเริ่มขยายใหญ่ขึ้นตามอายุครรภ์ จนกระทั่งคุณอาจต้องเพิ่มขนาดเสื้อชั้นในขึ้นอีกอย่างน้อย 1 – 2 ไซส์ ผิวหนังที่ยืดออกอาจทำให้เกิดอาการคันรวมถึงรอยแตกลายได้

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก ช่วงตั้งท้องเจ็บหน้าอกไม่ใช่เรื่องน่ากลัว จาก นิตยสาร Real Parenting

แม่ตัวใหญ่ลูกในท้องต้องใหญ่ตามไซส์แม่รึเปล่า


อายุครรภ์ 28-41 สัปดาห์  : น้ำหนักเพิ่มขึ้นเยอะขนาดนี้ ทำให้ลูกตัวใหญ่เกินไปจนคลอดยากหรือเปล่า  ช่วงใกล้คลอดแบบนี้ เราเชื่อว่ามีคุณแม่หลายคนรู้สึกกังวลกับปัญหานี้ค่อนข้างเยอะ เพราะห่วงว่าอาจจะไม่ได้คลอดเองตามที่ตั้งใจไว้ ทั้งนี้การที่เรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเยอะไม่ได้หมายความว่า ลูกในท้อง จะต้องตัวใหญ่เสมอไป ยังมีตัวแปรอื่นๆอีกมากมายเสริมด้วย เช่น

- พันธุกรรม กับน้ำหนักแรกเกิดของตัวคุณเอง ถ้าคุณตัวใหญ่เมื่อแรกคลอด ลูกของคุณก็มีโอกาสเป็นเหมือนคุณเช่นกัน

- น้ำหนักช่วงตั้งท้อง คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวมากอยู่แล้ว มักคลอดทารกที่ตัวใหญ่

- คุณภาพการกิน ที่ทำให้น้ำหนักคุณเพิ่มมากขึ้น

ซึ่งเมื่อดูจากตัวแปรทั้งหมดแล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์ที่น้ำหนักเพิ่มขึ้น 15-20 กิโลกรัม จะให้กำเนิดทารกที่มีน้ำหนัก ประมาณ 2.5-3 กิโลกรัม และคุณแม่ตั้งครรภ์ที่น้ำหนักเพิ่มขึ้น 10-11 กิโลกรัม จะให้กำเนิดทารกที่มีน้ำหนัก ประมาณ 3.6 กิโลกรัม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยเฉลี่ยแล้วขนาดตัวของทารกจะแปรผันตามน้ำหนักตัวของคุณแม่เสมอ

วิธีการวัดขนาดของทารก

1.ด้วยการคลำจากฝีมือคุณหมอ โดยคลำตรงส่วนท้อง และการวัดความสูงของยอดมดลูก แต่วิธีตรวจวัดนี้อาจคลาดเคลื่อนได้ ประมาณหนึ่งกิโลกรัมหรือมากกว่านั้น

2.สามารถดูขนาดตัวของเด็กได้จากภาพอัลตราซาวด์

ถ้าลูกตัวใหญ่ อย่าไปกลัว!

ว่าจะคลอดยาก เพราะถึงแม้ลูกเราจะตัวใหญ่ แต่เชื่อไหมว่า คุณแม่คนอื่นๆ ก็สามารถเบ่งคลอดน้องที่ตัวโตขนาด 3.6 กิโลกรัมออกมาได้ สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้คลอดยาก หรือง่าย ไม่ใช่อยู่ที่ขนาด แต่อยู่ที่ตำแหน่งของหัวเด็กมากกว่า ถ้าหัวของเด็กอยู่ตรงอุ้งเชิงกรานพอดี ก็ไม่มีปัญหา

คลอดเอง หรือ ผ่าคลอด

ถ้าคุณแม่ต้องการจะเบ่งคลอดเอง คุณหมอจะปล่อยให้เบ่งคลอดตามธรรมชาติ โดยคอยตรวจสอบดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อไหร่ที่หัวของเด็กเคลื่อนลงมาตามคอมดลูกในเกณฑ์ปกติของแพทย์ คุณหมอก็จะไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ว่า ถึงเวลาแล้วเด็กไม่สามารถคลอดเองได้ คุณหมอก็จะกระตุ้นด้วยการฉีดฮอร์โมนออกซีโตซิน และถ้ายังคลอดไม่ได้อีก ก็จะทำการผ่าคลอดต่อไป

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก แม่ตัวใหญ่ลูกในท้องต้องใหญ่ตามไซส์แม่รึเปล่า จาก Real Parenting

อาหาร สำหรับคน หลังคลอด “ช่วยฟื้นพลังงานได้ดีนักเชียว”


อาหาร สำหรับคน หลังคลอด ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งค่ะ  มีคำแนะนำเกี่ยว อาหารสำหรับคนหลังคลอด เพื่อให้คุณแม่ทั้งหลายฟื้นร่างกายได้อย่างดีมากขึ้นค่ะ นอกจาก อาหารสำหรับคนหลังคลอด จะช่วยเติมพลังงานงานให้กับคุณแม่ทั้งหลายแล้ว ใน อาหารสำหรับคนหลังคลอด ยังมีส่วนช่วยให้คุณแม่ลดอาการต่างๆ ที่จะตามมาหลังคลอดอีกด้วยค่ะ  ว่าแล้วเรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า อาหารสำหรับคนหลังคลอด นั้นมีอะไรที่ต้องรับประทานกันบ้างเอ่ย

ตอนตั้งท้องคุณแม่ต้องการพลังงานมากขึ้นกว่าปกติวันละ 300 กิโลแคลอรี หลายคนคิดว่า หลังคลอด แล้วร่างกายก็คงกลับไปต้องการพลังงานเหมือนปกติ แต่จริงๆ ไม่ใช่เลยค่ะ เพราะช่วงนี้คุณแม่ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นจากช่วงท้องอีกเสียด้วยซ้ำ

หลังคลอด ร่างกายของคุณแม่ต้องการพลังงานมากกว่าตอนขณะตั้งครรภ์ 500 กิโลแคลอรีต่อวันค่ะ พลังงานที่เพิ่มขึ้นนี้จะถูกนำไปใช้สร้างน้ำนมและชดเชยพลังงานที่เสียจากการ คลอด เพราะฉะนั้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการนี่แหละค่ะ จะช่วยให้แม่หลังคลอดฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ช่วยซ่อมแซมให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรค ลดอาการอ่อนเพลียจากการสูญเสียเลือดและน้ำขณะคลอดได้ เรามาดูกันว่าอาหารชนิดใดบ้างจะช่วยให้คุณแม่กลับมาสดชื่น ที่สำคัญช่วยลดปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาตอนหลังคลอดได้ด้วย

อ่อนเพลีย : โปรตีน ธาตุเหล็ก วิตามินซี

ที่มา : เกิดจากร่างกายสูญเสียเลือดและน้ำ รวมไปถึงความเครียดและความเมื่อยล้าขณะคลอด
อาหารแนะนำ : อาหารที่มีโปรตีนและธาตุเหล็กสูงเพื่อช่วยสร้างเม็ดเลือดทดแทนที่ร่างกายต้องสูญเสียไป

ธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือด ป้องกันภาวะโลหิตจาง ทำให้มีกำลัง ไม่อ่อนเพลีย มีมากในเครื่องในสัตว์ ไข่แดง เนื้อแดง ผักสีเขียวเข้มและงา

วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงควรกินธาตุเหล็กพร้อมกับผักผลไม้สดที่มีวิตามินซี

น้ำนมน้อย : อาหาร 5 หมู่

ที่มา : ส่วนหนึ่งเกิดจากร่างกายได้รับพลังงานอาหารไม่เพียงพอหรือได้รับสารอาหารไม่ ครบถ้วน ในระยะให้นมลูกพลังงานที่ต้องการเพิ่มขึ้นนั้น ถูกนำมาสร้างเป็นน้ำนม

อาหารแนะนำ : อาหารทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้มีพลังงานเพียงพอเพื่อใช้สำหรับผลิตน้ำนม
โปรตีน ถ้าร่างกายได้รับโปรตีนไม่เพียงพอก็ทำให้ปริมาณน้ำนมน้อย สำหรับแคลเซียมซึ่งต้องการเพิ่มขึ้น 1,500 มิลลิกรัมต่อวันเนื่องจากในน้ำนมแม่เฉลี่ย 100 มิลลิลิตรมีแคลเซียม 30 มิลลิกรัม ถ้าแม่ได้แคลเซียมไม่เพียงพอระดับแคลเซียมในน้ำนมจะคงอยู่เท่าเดิม โดยการดึงแคลเซียมจากกระดูกแม่มาทดแทน ดังนั้น จึงต้องรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเพื่อป้องกันการสูญเสียแคลเซียม จากกระดูกแม่นั่นเอง เช่น การดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1–2 แก้ว, การรับประทานเต้าหู้หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหรือปลาที่รับประทานทั้ง กระดูกได้จะช่วยเพิ่มแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น

ผิวแห้ง : น้ำ
ที่มา : ร่างกายสูญเสียน้ำหรือดื่มน้ำน้อย

อาหารแนะนำ : ดื่มน้ำเพิ่มขึ้น นอกจากน้ำดื่มแล้ว อาจดื่มน้ำผลไม้สด น้ำสมุนไพร น้ำซุป รวมกันแล้วให้ได้วันละ 8-10 แก้ว แนะนำให้ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำอุ่น

การดื่มน้ำอย่างพอเพียง จะทำให้สดชื่นลดอาการอ่อนเพลีย ผิวพรรณชุ่มชื้น ช่วยให้การหลั่งน้ำนมดีขึ้น แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่หวานจัด เพราะจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นค่ะ

ท้องผูก : ใยอาหาร วิตามิน ไขมัน น้ำ
ที่มา : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้ลำไส้บีบตัวช้าลง ดื่มน้ำน้อย และรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย

อาหารแนะนำ : ควรรับประทานผัก ผลไม้ ที่นอกจากจะมีวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ แล้ว ใยอาหารในผักผลไม้ยังช่วยให้การขับถ่ายง่ายขึ้น

ผักบางชนิด มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ทำให้สบายตัว ไม่อึดอัดแน่นท้อง และช่วยเพิ่มน้ำนม เช่น ขิง ใบกะเพรา ใบแมงลัก เป็นต้น ในแต่ละวันควรรับประทานผักผลไม้หลากหลายสีเพื่อให้ได้แร่ธาตุครบถ้วน

ควรมีส่วนผสมของน้ำมันในอาหารจานผัก เพื่อที่ร่างกายจะได้ดูดซึมวิตามิน เอ อี ดี เค ได้ดียิ่งขึ้น
อย่าลืมดื่มน้ำ ให้ได้วันละ 8-10 แก้วนะคะ น้ำช่วยให้อุจจาระมีความอ่อนนุ่ม ขับถ่ายง่าย

เจ็บแผลผ่าตัดหรือที่ฝีเย็บ : โปรตีน วิตามินซี

ที่มา : ปกติการคลอดบุตรทำให้ฝีเย็บแยกจากกัน แผลที่ฉีกขาดหรือแผลที่เย็บมักมีการบวมแดง เนื่องจากผิวหนังดึงรั้งกันทำให้เจ็บแผล การกินอาหารโปรตีนสูงจะช่วยสมานแผลได้เร็ว

อาหารแนะนำ : การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงๆ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ ทำให้ร่างกายสามารถปรับคืนสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะโปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารหลักที่ได้จากเนื้อสัตว์ทำ หน้าที่ช่วยในการส่งเสริมภูมิคุ้มกัน สร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น ส่วนวิตามินซีจากผักผลไม้ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อโปรตีนและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เมื่อแผลหายเร็วอาการเจ็บแผลก็จะลดน้อยลง

ผมร่วง : แร่ธาตุ ไขมัน

ที่มา : ผมร่วงอาจเกิดจากภาวะเครียด การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของฮอร์โมนช่วงหลังคลอด ทำให้เส้นผมหยุดเจริญเติบโตชั่วคราว หรือการรับประทานอาหารไม่สมดุลก็ทำให้เกิดอาการนี้ได้

อาหารแนะนำ : ควรรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก แมงกานีส กำมะถัน ไอโอดีน ไบโอติน โอเมก้า 3 เพิ่ม อาหารที่มีประโยชน์กับเส้นผม ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ปลา ตับสัตว์ ไข่แดง ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวซ้อมมือ แครอต หัวปลี ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน มะพร้าว มะตูม คะน้า กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กล้วย สับปะรด องุ่น ส้ม สาหร่ายทะเล

ปวดเมื่อย : แคลเชียม เกลือแร่ วิตามินบี

ที่มา : อาจเนื่องมาจากระหว่างการคลอดมีการบิดเกร็ง หรืออยู่ในท่าเดียวนานๆ การให้นมลูกอาจทำให้ต้องอุ้มลูกเกิดการเมื่อยล้าหรือกลัวลูกตื่นไม่กล้าขยับ ตัว ภาวะเครียดก็ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้
อาหารแนะนำ : การกินอาหารโปรตีน ธัญพืชไม่ขัดสี เนื้อแดง ทำให้ได้แคลเซียมและวิตามินบี
เมื่อกล้ามเนื้อมีการหดหรือเกร็ง แคลเซียมจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว วิตามินบีทำให้ปลายประสาททำงานได้ดี ส่วนการดื่มน้ำสมุนไพรต่างๆ เช่น น้ำขิง น้ำตะไคร้ หรือการปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ สมุนไพร จะช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ทำให้กระปรี้กระเปร่า ลดอาการเครียด กระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตให้เดินสะดวกและรักษาอุณหภูมิในร่างกาย

ขอแนะนำ 3 เมนู ที่ช่วยบำรุงคุณแม่หลังคลอดให้กลับมาสดชื่นและแข็งแรงค่ะ

- โป๊ะแตกสมุนไพร

- ซุปรวมพลังแคลเซียม

- ผัดขิงเต้าหู้

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก อาหาร สำหรับคน หลังคลอด “ช่วยฟื้นพลังงานได้ดีนักเชียว”  จาก นิตยสาร Modern Mom